คดีพลิก! #โด่ง เอเอฟ เดือด! คู่กรณีกรีดรถหายเข้ากลีบเมฆ เข้าข่ายแจ้งความเท็จ
จากกรณีที่นักร้องนักแสดงดัง “โด่ง AF” ถูกหญิงสาวรายหนึ่งของขึ้นเหตุเข็นรถไม่ไหว ลุยกรีดรถรอบคัน แถมแม่คู่กรณียังบอกลูกเป็นคนดี ทำงานกระทรวงดัง ห้ามเอาเรื่อง เดี๋ยวเสียประวัติ ล่าสุดรายการโหนกระแส วันที่ 18 ม.ค. ดำเนินรายการโดย“หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 20.30 – 21.00 น. ทางช่อง 28ได้เปิดใจ “คุณศิระ รัตนโภคาสถิต” หรือ “โด่ง AF” รวมทั้ง “คุณภัสสร รัตนโภคาสถิต” หรือ “ออม AF” ซึ่งเป็นภรรยา และ “คุณชัยณรงค์ บุญสันติ์” หรือ “ทนายโต้ง”
วันนั้นอยู่ด้วยกันในเหตุการณ์ทั้งสองคน?
โด่ง : “อยู่ครับ วันนั้นลงมาเจอสภาพรถที่ถูกกรีดเละไปครึ่งคัน พอเราเห็นปั๊บเราก็ตกใจ และคิดว่าวันนั้นเราเอารถไปจอดไว้ที่ไหน ซึ่งเราไม่ได้เอารถไปจอดที่ไหนเลย เราจอดไว้ที่คอนโด วันนั้น 10 ม.ค. ที่จอดรถมีลักษณะจอดรถขวางได้ เป็นที่จอดรถของคอนโด ซึ่งเป็นที่จอดปกติ จอดไว้ที่ชั้น 2A พอเรารู้ว่ารถเป็นรอย เราเลยมาขอให้ทางนิติมาดูกล้องวงจรปิดให้หน่อย ว่าทำไมรถถึงเละไปครึ่งคันแบบนี้ ซึ่งตอนนั้นผมจอดขวางรถเขา”
เข้าเกียร์ไว้มั้ย?
โด่ง : “ไม่ครับ เกียร์ว่างปกติ ถ้าดูจากกล้องวงจรปิด ผู้หญิงคนนี้เหมือนเข็นรถผมมาได้แล้วเข็นจนมาติดรถคันหน้า เขาก็ยังขับออกไม่ได้ เขาเลยเหมือนกับเดินไปด้านหลัง เริ่มกรีดตั้งแต่ท้ายรถ ลากยาวมา จนมากรีดประตูคนขับด้วย ในคลิปเหมือนมีผู้ชายคนหนึ่งมาช่วยเขาเข็น ก็เข็นได้ปกติ”
ออม : “แล้วเขาก็ออกได้”
โด่ง : “แล้วเขาก็ขับเนียนออกไปทำงาน”
ทีนี้คุณไปเช็กกล้องวงจรปิดจนเจอคลิปนี้?
ออม : “จริงๆ เราดูภาพจากกล้องวงจรปิดวันที่ 10 ม.ค. แต่กว่าเราจะได้ภาพก็เป็นวันที่ 12 เราได้เช็กกับทางนิติแล้วว่ารถคันนี้ที่เข้าซองตรงนี้ เป็นรถทะเบียนอะไร ที่นี่เขาทำงานรัดกุมมาก มีรปภ. เดินตรวจ คอยเช็กตลอด พอทราบว่าเป็นรถคันนี้ เขาเห็นเขาก็เหมือนทราบอยู่แล้วว่าเป็นใคร”
กรีดยับเลยนะ?
ออม: “ใช่ค่ะ ครึ่งคันเป็นตัวแอล”
โด่ง : “วันนั้นเขาบอกว่าเขามีนัดประชุมตอนเก้าโมง”
ออม: “นี่เป็นข้อมูลจากคุณแม่นะคะ”
โด่ง : “ถ้าดูในกล้องวงจรปิด 09.05 ยังเข็นรถผมอยู่เลย”
พอเสร็จแล้วคุณเองเห็นว่ามีคนกรีดรถคุณ คุณทำยังไงต่อ?
ออม : “ทางนิติก็ติดต่อไปยังข้อมูลที่ได้ไว้ว่าใครเป็นเจ้าของห้อง ปรากฏว่าเขาเป็นแค่ผู้เช่า เขาฝากเบอร์เอาไว้ เป็นเบอร์ของคุณแม่ ก็เลยติดต่อไปเพื่อแจ้งให้ทราบว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นนิติก็ส่งมาให้ออมคุย พอออมคุยก็บอกว่าคุณแม่ขาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ลูกสาวคุณแม่มากรีดรถออมแบบนี้นะคะ เดี๋ยวออมต้องไปลงบันทึกประจำวันเอาไว้เพื่อเป็นหลักฐาน แล้วเรามาคุยกันนะคะเรื่องค่าเสียหาย ว่าจะชดใช้หรือมาขอโทษอย่างไร คุณแม่ตอนช่วงแรกๆ ยังคุยดีๆ อยู่ แต่พอได้ยินว่าออมจะไปลงบันทึกประจำวัน ท่านก็เหมือนโกรธแล้วพูดว่าทำไมเรื่องต้องถึงตำรวจ ทำไมไม่มาเคลียร์กันที่ห้องที่คอนโด เขาอยากมาเคลียร์ที่ห้องออม ออมก็บอกว่าไม่ได้ เพราะแบบนี้คือเราเสียทรัพย์ใช่มั้ยคะ ต้องไปลงเป็นหลักฐานเพื่อที่จะได้รู้ว่าเรามีการชดใช้กันแน่นอน ไม่ใช่เป็นคำพูดลอยๆ คุณแม่ก็ไมยอม แล้วเหมือนโมโห ก็เลยต่อว่าออมอย่างรุนแรง”
เขาว่ายังไง?
ออม : “คำพูดประมาณว่าแค่ขูดรถแค่นี้เอง ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ทำไมต้องทำให้เรื่องถึงตำรวจ แล้วลูกชั้นไม่ได้ฆ่าคนตาย ทำไมต้องให้เป็นเรื่องใหญ่ คุยกันดีๆ ไม่ได้เหรอ นี่พูดดีๆ ด้วยแล้วนะ หนูใจเย็นมาก เขาพูดเยอะมาก จนไม่ได้ศัพท์ จนหนูพูดต่อไม่ได้เลยส่งโทรศัพท์ให้นิติ”
หลังจากนั้นได้แจ้งความ?
ออม : “ก็ไปลงบันทึกประจำวัน ซึ่งพอมีข่าวออกไปว่าเราโดนกรีดรถ ก็ติดต่อกลับมา”
เขารู้มั้ยว่าคุณคือใคร?
ออม : “เขาไม่ทราบค่ะในตอนแรก เขาไม่ทราบว่าลูกมากรีดรถ เขายังไม่เห็นรอยแผลหรืออะไรใดๆ ก็เลยอาจจะคิดว่าเล็กน้อย เขาก็เลยพูดว่าคุณมีประกันหรือเปล่า ถ้ามีประกันเดี๋ยวมาคุยกัน หรือถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร แม่มีประกันรถ หนูก็บอกว่าประกันรถใช้ไม่ได้ในกรณีนี้ เพราะมันไม่ใช่รถกับรถเกิดอุบัติเหตุชนกัน มันคือเจ้าของรถมาขูด”
คุณได้ติดต่อไปทางคนขูดมั้ย?
ออม : “เขาไม่ให้เบอร์ค่ะ มีแต่เบอร์คุณแม่”
โด่ง : “คือให้แม่กับน้าสาวมาคุยด้วยตลอด”
ออม : “คุณแม่เขาโทร.มา พอเขาเห็นข่าวแล้วก็โทร.กลับมา พูดจาดีขึ้น และโทร.มาขอโทษอย่างนั้นอย่างนี้ เท่าไหร่จะชดใช้ให้ ตอนแรกบอกว่าเรียกมาเลย เป็นล้านแม่ก็จ่าย เท่าไหร่ก็เรียกมา เขาโมโหค่ะ คุณบอกมาเลยเท่าไหร่ เอาบิลมา”
คุณโด่งบอกว่าเขาพยายามออกไปไหนตอนเช้า?
โด่ง : “คุณแม่เขาบอกว่าลูกเขารีบไปประชุมกับผู้ใหญ่ตอนประมาณ 09.00 แต่ถ้าดูจากกล้องวงจรปิด 9.05 นาที น้องคนนี้ยังเข็นรถอยู่เลย เพิ่งจะลงมา”
ออม : “เห็นคุณแม่เขาว่าเขาตื่นสาย”
โด่ง : แม่ก็เลยบอกว่าน้องอาจจะโกรธ หงุดหงิด อารมณ์ชั่ววูบ ขอกรีดรถซะเลย”
ทำแบบนี้กับใครก็ได้เหรอ?
โด่ง : “ไม่ทราบว่าคนที่ทำงานใหญ่ๆ ในกระทรวงดีๆ เขาทำกันแบบนี้เหรอครับ”
หลังจากไปแจ้งความ?
ออม : “ไปลงบันทึกประจำวันไว้เฉยๆ ว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับเรา เดี๋ยวเราต้องมีการพูดคุยกับคนที่มาทำ”
ได้เจอตัวที่ไหน?
โด่ง : “เจอที่สน. วันที่เรานัดเจอกันที่สน. คุณแม่กับน้าสาวเขามาแทนน้องคนที่กรีดรถ ให้เหตุผลว่าน้องติดสอบปริญญาโท”
ออม : “หนูก็งง วันนั้นเป็นวันเด็ก เป็นวันเสาร์”
โด่ง : “วันนั้นไม่ได้เจอตัวคนกรีดรถเลย”
ออม : “เขาบอกว่าเขาพามาแล้วนะ แต่เห็นนักข่าว เขาเลยให้ลูกเขากลับ”
โด่ง : “เขาไม่อยากให้ลูกเขามาเจอสื่อ ถ้าอยากให้ลูกเขามาที่สน. ให้ผมไล่นักข่าวกลับให้หมด ไล่สื่อ ไล่นักข่าวกลับ”
ออม : “จริงๆ เขาเลื่อนเวลาเราหลายครั้งนะคะ ตอนแรกนัดกันห้าโมงเย็น เสร็จปุ๊บเขาโทร.มาขอเป็น 11 โมง แต่พอถึงเวลาไม่มา เลื่อนเป็นเที่ยง จากเที่ยงเป็นบ่ายสอง ระหว่างนั้นคุณน้าโทรศัพท์มาพูดคุยกับคุณตำรวจ ตอนแรกเขาพูดก่อนว่าให้ไล่นักข่าวกลับไปให้หมด”
โด่ง : “เขาต่อรองว่าทำยังไงก็ได้ให้นักข่าวกลับ ถ้ามีรูปคุณน้าออกสื่อ หรือมีช่องไหนเอาหน้าเขาไปออก เขาจะฟ้องสื่อ เพราะทำให้เขาเสียหาย เขาขายของอยู่ เขากลัวจะขายไม่ได้ คุณจะรับผิดชอบค่าเสียหายที่หนูจะขายของไม่ได้ จะเอาหนูไปเลี้ยงได้มั้ยคุณ อะไรแบบนี้”
แล้วได้มาเจอกันหรือตกลงอะไรยังไง?
โด่ง : “สุดท้าย คุณตร.ก็บอกว่างั้นมานัดให้ไปคุยกันในห้องข้างบน”
ออม : “เขาก็มา แต่คนกรีดรถไม่มา มาแค่คุณแม่กับคุณน้า พอขึ้นไปเจอกัน เปิดประตูปุ๊บเจอหน้าหนู ยกมือไหว้ แล้วก็ร้องไห้ขอโทษเลย เขาบอกว่าเขาขอโทษนะ เขาเรียกตัวเองว่าหนู แล้วเรียกหนูว่าพี่”
โด่ง : “แม่เขามาเป็นอาม่าเลย”
ออม : “เขาบอกว่าขอโทษนะคุณออม ที่หนูพูดจาไม่ดีกับพี่ วันนั้นหนูโมโห ยังไม่ทราบเรื่องว่าลูกสาวทำอะไรไว้ ก็เลยพูดไปด้วยอารมณ์ ขอโทษด้วยนะ”
โด่ง : “แล้วก็ขอโอกาสจากเราว่าน้องเขาไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนเลย น้องเขาเป็นเด็กดีมาตลอด เรียนดี วันๆ หาแต่ที่สมัครเรียน เขาเพิ่งได้งานในกระทรวง”
ออม : “เขาก็พูดว่าลูกเขากลับมาจากทำงานก็อยู่แต่หน้าคอมพิวเตอ์ตลอดเลย ไม่เคยไปไหน”
โด่ง : “ไม่ใช่คนเลวร้าย ให้โอกาสน้องเขาด้วย วันนั้นพวกเราก็เห็นใจคุณแม่เขา”
ออม : “วันนั้นคุณแม่ก็ไม่สบาย เป็นโรคไต”
ตกลงราคาประเมินซ่อมรถเท่าไหร่?
ออม : “จริงๆ น่าจะประมาณ 6 หมื่น เท่าที่อู่ได้มีการตีราคาคร่าวๆ”
ได้บอกคุณแม่เขาไปมั้ย?
ออม : “บอกค่ะ ก็บอกว่าคุณแม่ขา ถ้าซ่อมรอบคันมัน 6 หมื่นนะคะ ถ้าคุณแม่บอกว่าจ่ายไม่ไหว ขอที่ 35000 ตามแผลเท่าที่น้องทำ เราก็เลยถามคุณแม่ว่าใครเขาจะซ่อมสีให้ครึ่งคัน มันก็จะเป็นทูโทน(หวเราะ) มันไม่ได้หรือเปล่า แล้วมันใช่เรื่องมั้ยในการที่หนูจะต้องเป็นคนมาจ่ายส่วนต่าง ทั้งที่หนูไม่ได้ทำอะไรด้วยซ้ำ รถหนูจอดอยู่ดีๆ คุณแม่ก็เหมือนขอร้องว่ารายได้ก็ไม่มี อยู่บ้านเฉยๆ เป็นโรคไต ต้องมีเงินไปรักษาทุกเดือน”
แต่ลูกทำงานกระทรวง?
โด่ง : “แต่บอกว่าลูกได้เงินเดือนแค่หมื่นห้า”
ออม : “เงินไม่พอหรอก แล้วคุณน้าก็บอกว่าคุณน้ามีรายได้รายวันไม่แน่นอน”
ก่อนหน้านี้ไหนบอกเป็นล้านก็จ่ายได้?
ออม : “เขาบอกว่าเขาพูดด้วยอารมณ์โมโหไงคะ”
โด่ง : “อารมณ์เหมือนตอนที่ลูกเขากรีดรถเราแหละครับ(หัวเราะ)”
สุดท้ายยอมมั้ย?
ออม : “สุดท้ายก็ยอม 35000 ที่เหลือก็ออกเอง”
ก็เหมือนจะจบ?
ออม : “ก็เหมือนจะจบเพราะตอนนั้นเรารับปากต่อหน้าตำรวจ ว่าคุณจะยอมชดใช้ค่าเสียหายเราตามจริง ซึ่งคุณชดใช้ไม่ได้ เราก็ยอม เอา 35000 ก็ได้ ถ้าคุณไหวเท่านี้ กับสองคุณต้องพาตัวจริง คือลูกสาวที่กรีดรถเรา มาขอโทษเราต่อหน้า เราตกลงกันต่อหน้าตำรวจแบบนี้ เขาก็โอเคทั้งสองข้อ”
โด่ง : “เขาบอกว่าเขาจะพาลูกเขามาขอโทษเราอย่างจริงใจ แล้วมีการนัดกันว่าจะเจอกันในสัปดาห์นี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เจอคนกรีดรถตัวจริงเลยครับ”
ยังไม่พามา?
โด่ง : “ยังไม่เห็นครับ”
ออม : “หลังจากนั้นที่ไปยอมความกันวันเสาร์ วันอาทิตย์ก็ยังไม่มา จนวันจันทร์-อังคาร ออมบอกว่าออมจะไม่อยู่แล้ว ออมจะไปต่างจังหวัด งั้นคุณแม่จะมาวันไหน คุณแม่ก็บอกว่าให้มาวันพุธได้มั้ย ออมเป็นคนเสนอเองด้วยซ้ำว่าลูกสาวคุณแม่ว่างวันไหน วันพุธมั้ยจะได้ไม่นานเกินไป เอาตอนเช้าก็ได้ก่อนลูกสาวคุณแม่ไปทำงาน เพราะวันจันทร์ก็ติดก็ติดงานศพ วันอังคารก็ติดงานศพ ไม่ว่างเลย ต้องไปกับปลัดโน่นนี่นั่น งานยุ่งมากทั้งวัน งั้นเอาก่อนไปทำงานล่ะกัน”
เขาไปทำงานกับปลัด เขาบอกอย่างนั้นเหรอ?
ออม : “ใช่ (หัวเราะ) ต้องไปงานศพกับปลัด เราก็บอกว่างั้นไปเจอกันก่อนทำงาน ที่นิติ เขาบอกว่าไม่ขอที่นิติได้มั้ย ขอขึ้นไปเจอที่ห้องคุณ เขาบอกว่าจะได้เป็นส่วนตัว เพราะนิติมีคนเข้าคนออกออมก็บอกว่าไม่ได้สิคุณแม่ มันต้องมีพยานให้ชัดเจนว่ามาจริงๆ แล้วจะได้มีคนยืนยันด้วยว่านี่ลูกสาวคุณแม่ตัวจริงเพราะหนูไม่เคยเห็นหน้า แล้วนิติเขาก็จะได้ยืนยันให้ได้ว่าเป็นคนนี้ที่เป็นคนกรีดจริงๆ ขอที่ห้องสมุดได้มั้ยเพราะคนน้อยกว่า อ๊ะ ก็ได้ (หัวเราะ) เสร็จปุ๊บ อยู่ดีๆ เขาก็โผล่มาในวันที่เขารู้อู่แล้วว่าเราไม่ว่าง”
โด่ง : “เป็นวันจันทร์ วันที่ผมกับออมไปต่างจังหวัด แล้วโทร.มาหาผมเลย บอกว่ามาถึงแล้วลงมาได้มั้ย ผมก็บอกว่าผมกับออมไม่ว่าง บอกไปแล้วว่าอยู่ต่างจังหวัด ผมบอกว่านัดวันพุธ เขาก็บอกว่าลูกสาวเขามาแล้วนะ ภายใน 10 นาทีได้มั้ย”
ออม : “เขาก็เหมือนพยายามพูดว่าตกลงเรานัดกันแล้วนะ แต่คุณไม่มานะ”
เขาอัดเสียงไว้หรือเปล่า?
ออม : “หนูไม่ทราบ ทีนี้เสร็จปุ๊บพี่โด่งก็บอกว่าไม่ เราต้องเจอกันวันที่เรานัดกันไว้ คือวันพุธเช้าเท่านั้น เพราะเราไม่ว่างจริงๆ วางสายกันไป เสร็จปุ๊บพอเราลงมา เราก็ได้ข้อมูลใหม่ว่ามีคนหวังดี เพื่อนๆ เขาโกรธว่าเช็กแล้วนะ ไม่ได้ชื่อเล่นตามที่บอกนะ”
โด่ง : “ตอนคุยกับผมใช้ชื่อว่าออย แต่จริงๆ พอภรรยาผมมารู้ข้อมูล คนนี้ไม่ได้ชื่อออย เขาใช้ชื่อกลอย ทั้งบอกกับผมว่าชื่อออย ไปคุยกับตำรวจก็เรียกชื่อลูกว่าออยด้วย”
ออม : “แต่ชื่อเล่น ก็ไม่ใช่ประเด็นใหญ่”
แล้วชื่อจริงนามสกุลจริงของแท้หรือเปล่า?
ออม : “อันนี้มันตามมาทีหลังที่เรารู้ว่ามันไม่ใช่ พอเรารู้ว่าเขาหลอกชื่อเล่นเรา มันมีข้อมูลอย่างอื่นที่เขาไปพูดบิดเบือนกับคนอื่น ว่าเขานัดเราแล้ว แต่เราไม่มาเอง เราก็รู้สึกวาทำไมไปโกหกแบบนั้นล่ะ เสร็จปุ๊บเราก็มีความกังวลใจแล้ว ว่าเขาจะพูดไม่จริงด้วยหรือเปล่า เพราะว่าวันนั้นรูปก็ไม่มี ขอดูหน้าน้องในวันที่สน. เขาก็บอกว่าแม่เพิ่งซื้อโทรศัพท์มาใหม่ ไม่มีรูปซักใบ”
โด่ง : “สรุปชื่อจริงที่เรารู้ นามสกุลก็ไม่ตรงด้วยครับ นามสกุลคนที่กรีดรถไม่ตรงครับผม”
ออม : “พอเราเริ่มกังวลใจว่า มันมีหลายๆ เรื่องที่มันไม่จริง เราก็คุยกับตำรวจ เพื่อความสบายใจ เรามาเช็กล่ะกันว่าชื่อนามสกุลที่วันนั้นคุณแม่ให้มามันถูกต้องมั้ยเพราะคุณไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นยังไง”
เราเลยขอคุยกับตำรวจ?
ออม : “เราไม่สบายใจ”
โด่ง : “ชื่ออะไรกันแน่”
ออม : “วันนั้นคุณตำรวจขอชื่อลูกก่อน คุณแม่บอกว่าเอาชื่อแม่แทนได้มั้ย คุณตำรวจก็บอกว่าไม่ได้ เพราะคุณแม่ไม่ได้เป็นคนทำผิด ต้องเอาชื่อลูก เขาก็บอกว่างั้นนี่บัตรประชาชนแม่นะ มารับหน้าแทนนะ ลูกชื่อนี้ค่ะ นามสกุลเหมือนคุณแม่ในบัตรประชาชน นี่คือสิ่งที่เขาบอก”
โด่ง : “ซึ่งเป็นบุคคลที่ไร้ตัวตนครับ”
ออม : “พอคุณตำรวจไปเช็กตามที่คุณแม่เขาแจ้งมาไม่เจอ คุณตำรวจก็เอ๊ะ ทำไมไม่มี ก็ไปไล่เช็กกับคุณแม่แทนว่ามีลูกกี่คน แล้วก็เจอชื่อนี้ แต่นามสกุลไม่ใช่ เป็นนามสกุลอื่น คุณแม่ก็แบบเอ๊ะ หรือเขาเคยใช้นามสกลุคุณแม่แล้วเปลี่ยนมาใช้นามสกุลนี้หรือเปล่า มันก็อาจเป็นคนเดียวกันได้ พอเช็กแล้วไม่ใช่ คุณลูกใช้นามสกุลนี้มาตั้งแต่เกิด งั้นชื่อและนามสกุลที่คุณแม่แจ้งมา ไม่มีในทะเบียนราษฎร์ ไม่มีตัวตน”
โด่ง : “เป็นใครก็ไม่รู้ที่เราเซ็นยอมความ”
คุณอาจต้องกลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ เพราะคุณไปเซ็นสัญญากับผี ไม่มีตัวตน?
โด่ง : “ใช่”
ออม : “นั่นหมายความว่าเขาเจตนาที่จะปกปิดเพราะรู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเข้าใจผิดว่าเคยใช้นามสกลุนี้แล้วเปลี่ยนมาใช้นามสกุลนี้”
รับเงินมาแล้วหรือยัง?
ออม : “ณ วันนั้นรับเงินมาแล้วค่ะ”
โด่ง : “ผมเป็นคนเซ็นเอง”
ออม : “เราเซ็นตามข้อมูลที่เราได้ ณ วันนั้น”
โด่ง : “ตร.บอกว่าเป็นการให้การเท็จ”
ทนายโต้งฟังแล้ว เรื่องนี้เป็นยังไง?
ทนายโต้ง : “เรื่องนี้จริงๆ เป็นเรื่องที่ตกลงกันและจบลงได้ด้วยดีนะ แต่เรื่องไม่จบเพราะสุดท้ายที่ฟังเหมือนคุณแม่ไปให้ข้อความกับเจ้าพนักงานตอนที่สอบถามว่าคนกรีดรถคือใคร เพราะคนที่ทำความผิดคือลูกของเขา แต่การที่เขาบอกข้อความที่ไม่ใช่ คนรับคือคนข้อความไม่ใช่เรานะ เป็นเจ้าพนักงาน พอเป็นเจ้าพนักงานปั๊บ มันเป็นคดีอาญานะ แจ้งความเท็จ”
อย่างนี้แม่คุกมั้ย?
ทนายโต้ง : “คุกไม่คุกต้องขึ้นศาลพิจารณาและพิพากษา แต่ก่อนขึ้นศาล ตร.ต้องดูก่อนว่าสิ่งที่แม่ทำผิดมั้ย แจ้งข้อความเป็นเท็จมั้ย ได้รับความเสียหายต่อคนอื่น ประชาชนเสียหายมั้ย ถ้าเข้าองค์ประกอบ”
แล้วคิดว่าเข้ามั้ย?
ทนายโต้ง : “คือคนชนเป็นใคร แม่เขาก็รู้อยู่แล้ว การปฏิเสธว่าไม่รู้ คุณจะปกปิดหรือไม่ปกปิดเป็นเรื่องของคุณ แต่การที่คุณให้ข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง”
เหมือนพยายามพูดให้ทางนี้ลดค่าใช้จ่าย?
ทนาย : “คือการให้แม่ให้น้ามาคุยผมไม่ว่า แต่คนกระทำความผิดตัวจริงน่าจะต้องมา มาเพื่ออะไรรู้มั้ย มาเพื่อตกลงยอมความกัน เรื่องทำให้เสียทรัพย์มันสามารถยอมความได้ ทำบันทึกยอมความ อย่างกรณีที่พี่โด่งกับพี่ออมทำคือยอมความเลยนะตัดสิทธิ์ตัวเอง ไม่สามารถไปฟ้องเขาคดีอาญาได้ สามารถตกลงกันได้โดยไม่ต้องฟ้องร้อง เป็นคดียอมความได้ แต่คดีนี้เขายอมความกับใครในเมื่อคนนี้ไม่มีตัวตน เราไม่มีเจตนายอมความกับแม่นะ เรายอมความกับคนกระทำความผิด แต่คนกระทำความผิดไม่มี มารู้ภายหลังต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่”
เงิน 35,000 ต้องคืนมั้ย?
ออม : “ต้องคืนค่ะ ตำรวจแจ้งแล้วว่าต้องคืน”
ทนายโต้ง: “เขาต้องคืน เอกสารที่ทำมาขึ้นอยู่กับเขาแล้ว ถ้าเขารับได้ก็ถือว่าจบ แต่ถ้าบอกว่าวันก่อนรับได้ แต่วันนี้รับไม่ได้แล้วเหมือนโดนหลอก แล้วจะเรียก 6 หมื่นก็เป็นสิทธิ์เขาแล้ว ซึ่ง 6 หมื่นก็ไม่ได้หนักเกินไป เพราะรถคันนี้ถ้าไปประเมินเกี่ยวกับการซ่อมสี ก็น่าจะประมาณนี้”
ออม : “นี่ยังไม่ได้รวมอะไรอย่างอื่นเลยนะคะ”
ทนายโต้ง :“พอเอาเข้าอู่ คุณโด่งจะทำยังไง”
โด่ง : “เพราะอู่บอกว่าต้องซ่อมประมาณ 2อาทิตย์ไ
ทนายโต้ง : “เพราะฉะนั้นเรื่องตกลง ทำให้เสียทรัพย์ สามารถตกลงกันได้ ถ้าหากว่าคุณออมคุณโด่งรู้ว่าไม่อยากตกลงแล้วเพราะที่ตกลงไม่ใช่คนกระทำความผิด เพราะฉะนั้นสามารถตกลงใหม่ได้ 35000 ต้องคืน แต่เรื่องนี้มีเรื่องยากกว่าคือแม่เขาไปบอกข้อความเท็จกับตำรวจ มันอาจไม่เท็จก็ได้นะ แต่มันไม่ตรงกับความจริง ถ้าสิ่งที่เขาบอกไม่ตรงกับความจริงแล้วตร.มองว่าเป็นสิ่งที่เสียหาย ก็เป็นสิทธิของตำรวจแล้ว จะดำเนินคดีหรือเปล่า ถ้าไม่ดำเนินคดี ผมกลัวว่าต่อไปไม่รู้จะเป็นตัวอย่างมั้ย แต่ถ้าคุณแม่มาบอกแล้วตรงกับความจริง มีเอกสารซัปพอร์ตมีการแก้ไข ก็พอรับได้ แต่นี่มันไม่ใช่เลย”
จะเอายังไงกับเรื่องนี้?
ออม : “ณ ปัจจุบันนี้รอตำรวจเรียก เขาไม่ต้องติดต่อกับเราแล้ว เพราะทุกครั้งที่โทร.มาเขาโกหกตลอด ที่นัดล่าสุดก็หายไปเลย และไม่ติดต่อเราอีก คุณตำรวจเลยบอกว่าเขาจะต้องเรียกมาคุยใหม่ รอตำรวจนัดมาคุยทางเขากับทางเรา เหมือนเริ่มใหม่จะเอายังไง หนูไม่คิดเลยนะว่ามันจะมายาวขนาดนี้”
รับไม่ได้เหมือนโกหกเรา?
ออม: “ใช่”
โด่ง: “เอาคนที่ทำผิดจริงๆ มารับผิดก็เท่านั้นเอง”
ทนายโต้ง : “ผมมองว่าคุณแม่พยายามปกป้องลูกในทางที่ไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่ ที่สำคัญมันยอมความได้ ไม่ต้องกลัวประวัติลูกเขาจะเสีย”
ออม : “วันนั้นคุณตร.พูดออมยังตกใจเลยว่านี่เท่ากับหลอกทั้งสน.เลยนะ เพราะวันนั้นนั่งอยู่ด้วยกันหมดเลย ผู้กำกับ สารวัตร หลายคน ก็นั่งอยู่ด้วยกันหมดเลย”
โด่ง : “ทั้งสน.เข้าใจว่าเขาชื่อออยอยู่เลย”
ทนายโต้ง : “อาจไม่โกหกก็ได้ แต่อาจพูดไม่ตรงความจริง ซึ่งเขาต้องมาแสดง”