Share Button

“คริส เฮมสเวิร์ธ” เปิดใจ ชีวิตที่ไม่เรียบง่ายกว่าจะมาเป็น “THOR: RAGNAROK – ศึกอวสานเทพเจ้า”
“คริส เฮมสเวิร์ธ” เปิดใจตอนที่ต้องแต่งชุดเก่งกลับมาศึกหนักบทบาทของ”ธอร์”ในภาพยนตร์โดยมาร์เวล สตูดิโอส์เรื่อง “Thor: Ragnarok – ศึกอวสานเทพเจ้า

Q: คุณมองตัวละครของคุณยังไงหลังจากที่รับบทนี้มาเจ็ดปีแล้ว
A: ตอนนี้ ผมก็รับบทตัวละครตัวนี้มาได้เจ็ดปีแล้ว ซึ่งในแง่หนึ่งดูเหมือนนานเป็นชาติแล้ว แต่มันก็ดูเหมือนว่าเราเพิ่งถ่ายทำหนังภาคแรกกันเมื่อวานนี้เอง หนังภาคแรกสนุกมากเพราะมันเป็นหนึ่งในงานใหญ่งานแรกๆ ของผม ทุกอย่างแปลกใหม่เหลือเกิน ผมอยู่ภายใต้การกำกับของเคน บรานาห์ ซึ่งวิเศษสุดเลย เขาเนรมิตชีวิตให้กับโทนเชคสเปียร์ ประวัติศาสตร์และหนังสือการ์ตูนในแบบที่ผมไม่คิดว่าคนอื่นจะทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงตัวละครที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และมีการเปลี่ยนแปลงโทนในการเล่าเรื่องอย่างชัดเจน มันก็เลยส่งผลต่อการแสดงของผมครับ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้กำกับไทก้า ไวทีติ รวมถึงอารมณ์ขัน ทัศนคติและความต้องการจะสำรวจของเขา การทำในสิ่งที่แตกต่างก็สอดคล้องกับสิ่งที่ผมต้องการทำในหนังเรื่องนี้และสิ่งที่สตูดิโอต้องการจะทำพอดี เควิน ไฟกีและทีมงานที่มาร์เวลต้องการจะดูว่าเราสามารถนำพามันไปที่ไหนได้บ้าง และนี่ก็เป็นหนึ่งในกองถ่ายที่สนุกสนานและน่าตื่นเต้นที่สุดเท่าที่ผมเคยทำงานด้วยเลยล่ะครับ

Q: ในเรื่องราวนี้ เราเจอธอร์ในสภาพยังไง
A: ครั้งล่าสุดที่เราเจอธอร์บนจอเงินคือใน “Avengers: Age of Ultron” ในตอนจบของหนังเรื่องนั้น ธอร์ออกเดินทางเพื่อล้วงลึกสู่วายร้ายที่ดูเหมือนจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังปัญหาทั้งมวลที่ส่งผลต่อตัวละครมาร์เวลทั้งหมดในโลกภาพยนตร์มาร์เวล แต่ในหนังเรื่องนี้ เราไม่ค่อยจะได้ข้องเกี่ยวกับเรื่องราวตรงนั้นซักเท่าไหร่ เราทำให้หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่ยืนหยัดได้ด้วยตัวเองครับ ในตอนเริ่มต้น เราพบว่าธอร์กำลังอยู่ระหว่างการเดินทางเพื่อค้นหาตัวเอง เขามาจากแอสการ์ด แต่เขาปฏิเสธการเป็นราชันย์และใช้ชีวิตอยู่บนโลก แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนจากโลก เขาก็เลยไม่ค่อยเหมาะกับที่นั่นซักเท่าไหร่ เขาก็เลยออกเดินทางเพื่อหำตอบ ระหว่างทาง เขาได้ค้นพบความโกลาหลวุ่นวายสารพัดในดินแดนต่างๆ และเหล่าวายร้ายที่ถูกปลดปล่อยออกมา ไม่มีใครหยุดยั้งวายร้ายเหล่านั้น เขาก็เลยกลับบ้านเพื่อถามบิดาของเขาว่าเกิดอะไรขึ้นและทำไมถึงไม่มีใครจัดการเรื่องพวกนี้ อย่างที่เรารู้จากภาคที่แล้ว บิดาของเขาอาจจะไม่ใช่บิดาของเขาก็ได้ บางที เขาอาจเป็นโลกิที่ใช้ภาพมายาบางอย่าง เราก็เลยสนุกกับเรื่องนั้น แล้วทุกอย่างก็เริ่มต้นจากจุดนั้นไปสู่เรื่องราวส่วนที่เหลือครับ เราเริ่มต้นจากตรงนั้นและธอร์เองก็เริ่มต้นจากตรงนั้นเช่นกันครับ

Q: ธอร์มีความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพยังไงบ้าง
A: มีความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพบางอย่างเกิดขึ้นกับตัวละครตัวนี้ในภาคนี้ อย่างแรกเลยคือผมเขาหายไป เขาอยู่ในโลกกลาดิเอเตอร์ ที่ซึ่งกระบวนการอย่างหนึ่งของพวกเขาคือการหั่นผมทิ้ง ซึ่งเกิดขึ้นนอกจอครับ แล้วเขาก็ปรากฏตัวขึ้นโดยที่ผมของเขาถูกเฉือนทิ้งไปแล้ว มันทำให้ผมมีทัศนคติที่เปลี่ยนไป ชุดที่เปลี่ยนไป อาวุธที่เปลี่ยนไป ทีมนักแสดงที่เปลี่ยนไป ทำให้คุณมีพลังงานที่เปลี่ยนไปจากเดิม นอกจากนั้น อะไรที่เรียบง่ายอย่างแค่การมีทรงผมที่เปลี่ยนไปก็ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของคุณด้วยครับ แล้วเขาก็สูญเสียค้อนของตัวเองด้วย มันถูกทำลายโดยเฮล่า ตัวร้ายในหนังภาคนี้ มันบีบให้เขาต้องตั้งคำถามกับทุกสิ่ง รวมถึงพละกำลังของตัวเอง ประวัติความเป็นมาและความหลังของเขา และส่งให้เขาไปสู่การเดินทางที่แตกต่างไปจากเดิม มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเปลือยเขาทั้งทางร่างกายและอารมณ์ เพื่อสร้างเขาขึ้นมาใหม่ หรือทำให้เขาได้ค้นพบอะไรบางอย่างใหม่อีกครั้ง มันก็เลยเป็นวิธียอดเยี่ยมที่จะกะเทาะเปลือกเขาครับ

Q: การสูญเสียผมและค้อนส่งผลต่อพละกำลังของเขารึเปล่า
A: ตอนแรก ธอร์คิดว่ามันจะส่งผลต่อพละกำลังของเขา เขารู้สึกว่าค้อนนี้เป็นแหล่งกำเนิดพลังของเขา มันเป็นไอเดียคลาสสิกที่ว่าพลังจริงๆ แล้วอยู่ภายในตัวคุณ ค้อนเป็นแค่สิ่งที่ควบคุมมันเท่านั้นเอง
Q: แร็คนาร็อกคืออะไร
A: แร็คนาร็อกคืออวสานของทุกสิ่ง เป็นอวสานของจักรวาล เป็นการจบสิ้นของชีวิตอย่างที่เรารู้จัก แร็คนาร็อกในหนังเรื่องนี้ถูกใช้กับแอสการ์ดและมีการแข่งขันกับเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแร็คนาร็อกและเพื่อปกป้องแอสการ์ดไว้ครับ
Q: ธอร์เจออะไรในหนังเรื่องนี้บ้าง
A: ธอร์มาจากโลกที่เขาเป็นตัวละครที่ทรงพลัง แข็งแกร่งและมีความสามารถสูงสุด จากนั้น เขากลับถูกส่งไปอยู่ดาวซาคาร์ ที่ซึ่งไม่มีใครสนว่าเขาเป็นเจ้าชายแห่งแอสการ์ด ดังนั้น มันก็เลยไม่ได้ช่วยให้เขามีอำนาจหรือคุณค่าใดๆ เลย พลังของเขาถูกลดลงไปเพราะวงแหวนควบคุมที่ติดอยู่กับตัวเขา ตอนนี้ เขามีพลังเท่ากับคนอื่นแล้ว เขาไม่ได้อยู่เหนือชาวเมืองปกติเลย ซึ่งนั่นเป็นวิธีการที่ชาญฉลาดมากๆ ในการยึดพลังของเขาและทำให้เขาเป็นตัวละครที่เข้าถึงได้น่ะครับ
Q: เขาพบใครบนดาวซาคาร์
A: ซาคาร์ปกครองโดยแกรนด์มาสเตอร์ ที่รับบทโดยเจฟฟ์ โกลด์บลูม แกรนด์มาสเตอร์เป็นคนเพี้ยนๆ ที่มีสีสัน ตลก มีไหวพริบและมีเสน่ห์แบบป่วนๆ ในหน้ากระดาษ ตัวละครตัวนี้ทั้งยอดเยี่ยมและน่าตื่นเต้น แต่ผมคิดว่าพวกเราไม่มีใครคนไหนที่คาดการณ์ได้ว่าเจฟฟ์จะทำอะไรกับบทนี้บ้าง เขาปรากฏตัวขึ้นในวันหนึ่งแล้วทำให้เราทุกคนต้องอึ้ง แล้วมันก็เป็นเรื่องที่สั่นประสาทน่าดูสำหรับธอร์และโลกิที่ต้องอยู่กับตัวละครแบบนี้ แน่นอนว่าพวกเขาไม่เคยเจอใครแบบนี้มาก่อนเลย
Q: ฮัลค์เปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง
A: ฮัลค์พูดเยอะกว่าที่เราเคยเห็นเขามาก่อน ซึ่งก็เยี่ยมมากเพราะมันทำให้เขาเข้าถึงได้มากขึ้นและทำให้คุณเห็นใจกับสิ่งที่เขาต้องเผชิญ แล้วคุณก็จะได้เห็นว่ามันมีพื้นที่กว้างขวางมากขึ้นสำหรับความสัมพันธ์ สายสัมพันธ์และมิตรภาพที่จะผลิบานขึ้นระหว่างเขาและธอร์ พวกเขาก็กลายเป็นเหมือนเพื่อนร่วมห้อง ที่ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับกันและกัน และมีการโต้เถียง ทะเลาะเบาะแว้ง การแตกหักเหมือนเพื่อนทั่วๆ ไปที่แล้วก็กลับมาคืนดีกันเหมือนเดิม ดังนั้น การได้แสดงอะไรแบบนั้นก็เยี่ยมมากครับ
Q: พูดถึงวัลคีรีหน่อย
A: วัลคีรีเป็นนักรบที่เก่งกาจที่สุดของแอสการ์ด และตอนนี้ หนึ่งในวัลคีรี ที่รับบทโดยเทสซ่า ธอมป์สัน ก็ใช้ชีวิตอยู่บนดาวซาคาร์ ในฐานะนักล่าค่าหัว เธอจับธอร์ได้และขายยเขาให้ไปสู้ในลานประลองกลาดิเอเตอร์
วัลคีรีทิ้งแอสการ์ดและทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอที่นั่นไว้ข้างหลัง เธอฝังความทรงจำนั้นและใช้ชีวิตที่แตกต่างจากเดิม ในตอนแรก ธอร์ไม่รู้หรอกว่าเธอคือใคร แต่เมื่อเขารู้ตัวตนของเธอ เขาก็เหมือนกับจะบูชาเธอนิดๆ วัลคีรีเป็นคนสวยและเป็นนักรบที่เหลือเชื่อ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมีเสน่ห์มากๆ สำหรับธอร์ครับ
Q: ช่วยพูดถึงเฮล่า วายร้ายหญิงคนแรกหน่อย
A: เคท บลันเชตต์แสดงเป็นเฮล่าได้อย่างยอดเยี่ยมครับ เธอเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา ผมตื่นเต้นมากที่ได้เห็นสิ่งที่เธอจะทำกับเฮล่า ผมก็มีไอเดียอยู่บ้างว่าเธอน่าจะทำอะไร แต่ผมก็อึ้งกับผลลัพธ์ที่ออกมาจริงๆ เธอมีทัศนคติหรือลุคแบบเสียสติหลุดโลกและมีการเคลื่อนไหวที่เป็นเอกลักษณ์ บางครั้ง คุณจะพบว่าตัวเองเห็นใจเฮล่า ก่อนที่คุณจะจำได้ว่า เธอเป็นคนที่สังหารผู้คนและทำลายทุกสิ่ง ความขัดแย้งในใจผู้ชมแบบนั้นทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจยิ่งขึ้นและทำให้มันเป็นการเดินทางที่น่าดูชมยิ่งขึ้นด้วยครับ
Q: ความสัมพันธ์ระหว่างธอร์และโลกิในเรื่องราวนี้เป็นยังไง
A: ธอร์ให้โอกาสครั้งที่สองกับโลกิเสมอและไว้วางใจเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ในภาคนี้ มันไม่เหมือนกันครับ เขายอมรับในสิ่งที่โลกิเป็นและปล่อยเขาแบบนั้น บางที มันอาจเกิดจากความพยายามที่ชาญฉลาดมากขึ้นในการดึงเขากลับมา หรือบางที ธอร์อาจจะหมดทางเลือกและไอเดียที่จะดึงเขากลับมาก็ได้ และดูเหมือนว่าครั้งนี้ มันจะกระทบใจโลกิ ใครจะรู้ล่ะครับว่านานแค่ไหน ผมคิดว่าในตัวโลกิก็มีความดีอยู่บ้าง แต่เขามีมุมมองที่บิดเบี้ยวและมีความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของของตำแหน่งแห่งที่ที่เขาควรจะอยู่และสิ่งที่เขาควรจะได้รับ แต่มันก็สนุกดีที่ได้ถ่ายทอดความเปลี่ยนแปลงในทัศนคติของธอร์และทำในสิ่งที่ต่างไปจากเดิมแต่เราก็ยังมีช่วงเวลาแบบพี่น้องกันที่ยอดเยี่ยมท่ามกลางทัศนคตินั้นครับ
Q: ทำไมกองถ่ายถึงได้ไปถ่ายทำในออสเตรเลียได้
A: ผมถามว่าเราจะถ่ายทำในออสเตรเลียได้รึเปล่า แล้วโชคดีที่ทีมงานที่มาร์เวลบอกว่าพวกเขาจะลองพิจารณาดู แต่ก็ไม่รับประกันนะ สำหรับผม การได้อยู่บ้านอีกครั้งเป็นเวลามากกว่าสองสัปดาห์เป็นเรื่องวิเศษสุด และมันก็ไปได้สวย มันเยี่ยมมาก ผมรู้สึกดีจริงๆ ที่ได้ไปที่นั่น มันมีความคุ้นเคยกับทีมงานและทุกอย่างที่นี่ แถมผมยังได้นอนเตียงตัวเองอีกต่างหาก แต่ผมก็คิดว่าที่นี่มีทีมงานที่มีพรสวรรค์พิเศษสุด ทั้งนักแสดงและทีมงาน มันก็เลยวิเศษที่สุด อากาศก็ดีเยี่ยม ผมคิดว่าเราไม่เจอฝนเลยด้วยซ้ำ นี่เป็นหนึ่งในการถ่ายทำที่ดีที่สุดเท่าที่ผมได้มีส่วนร่วมมาเลยครับ
Q: คุณจำอะไรได้บ้างจากการถ่ายทำในบริสเบน
A: มันบ้ามากๆ ครับ ผมไม่เคยเห็นคนจำนวนมากขนาดนั้นที่ตื่นเต้นไปกับกองถ่ายมาก่อนเลย มีคนมารุมล้อมมากกว่าในงานรอบปฐมทัศน์หนังเรื่องไหนๆ ที่ผมเคยไปมาซะอีก และมันก็มีความตื่นเต้นและเสียงฮือฮามากกว่างานรอบปฐมทัศน์ที่ผมเคยไปมาด้วย คนบริสเบนตื่นเต้นกันมากและมารวมตัวกันเต็มท้องถนนไปหมดเพื่อดูพวกเรา ทั้งเมืองเหมือนกับหยุดชะงักไปสองสามวันครับ มันเป็นกระแสแง่บวกมากๆ และเราทุกคนก็พยายามจะออกไปข้างนอก และแจกลายเซ็นระหว่างเทคให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ มันเป็นเรื่องพิเศษสุดและเยี่ยมมากทีเดียวครับ
Q: คุณรู้สึกยังไงที่ได้ร่วมงานกับคนคุ้นหน้าคุ้นตา
A: มันทำให้คุณตื่นเต้นมากเพราะทอม, ไอดริสและผมแสดงใน “Thor” ภาคแรก ตอนที่เราเพิ่งเริ่มเข้าวงการมาใหม่ๆ เราก็เลยชื่นชอบการรำลึกถึงวันเก่าๆ กัน แล้วคุณก็ได้ร่วมงานกับนักแสดงอย่างแอนโธนี ฮ็อปกินส์ ผู้มีผลงานมากมาย และก็รู้สึกตื่นเต้นพอๆ กับเรา เรารู้สึกว่ามีพลังงานจริงๆ ในหนังพวกนี้ ที่ผู้คนจะรู้สึกได้ว่าพวกเขากำลังสร้างในสิ่งที่ไม่เหมือนใคร และได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกภาพยนตร์มาร์เวลครับ
Q: ฉากได้มีส่วนช่วยการแสดงของคุณบ้างรึเปล่า
A: ครับ ผมพบว่ายิ่งคุณต้องใช้จินตนาการในการสร้างสภาพแวดล้อมขึ้นมาน้อยเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งโฟกัสกับฉากและสิ่งสำคัญของมันได้มากขึ้นเท่านั้น เมื่อคุณได้เข้าไปในฉากที่เหมือนกับฉากที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหนังเรื่องนี้ คุณจะอินไปกับมันครับ ในฉากพวกนี้ มันไม่ใช่การจินตนาการว่าทุกอย่างจะมีหน้าตาเป็นยังไงและคุณอยู่ที่ไหน แต่คุณจะอยู่ที่นั่นเองเลยและมันก็ให้ความรู้สึกสมจริง ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เหมือนใครครับ ปัจจุบันนี้ มีการใช้บลูสกรีนในหนังมากซะจนคุณต้องใช้จินตนาการซะเยอะ ในขณะที่ถ้าคุณมีสิ่งแวดล้อมรอบตัวคุณอยู่แล้ว มันจะวิเศษไปเลยครับ
Q: ธอร์มีชุดคอสตูมใหม่รึเปล่า
A: ในหนังเรื่องนี้ ธอร์ได้ชุดใหม่ครับ มันได้รับอิทธิพลจากประวัติศาสตร์มากขึ้น มากกว่าอารมณ์แบบอนาคตในหนังภาคที่ผ่านๆ มา เขามีชุดคอสตูมหนังสไตล์กลาดิเอเตอร์ที่เข้ารูป และเต็มไปด้วยรายละเอียดครับ
Q: ในภาคนี้ การฝึกฝนของคุณเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมบ้างรึเปล่า
A: ในภาคนี้ ผมอาจจะต้องแสดงฉากต่อสู้และผาดโผนมากกว่าภาคอื่นๆ มันมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย ทั้งแอ็กชันเยอะขึ้นและการใช้อาวุธต่างชนิดออกไป ซึ่งเป็นเรื่องเยี่ยม เพราะคุณจะค่อนข้างถูกจำกัดด้วยลักษณะการเคลื่อนไหวของค้อน เราใช้ทั้งดาบ ปืนเลเซอร์และอาวุธชิ้นเล็กชิ้นน้อยอีกหลายแบบ มันเยี่ยมเลยครับ การฝึกฝนจริงๆ แล้วก็คล้ายกับภาคที่ผ่านๆ มานั่นแหละครับ คุณต้องกินอาหารที่ถูกหลักโภชนาการเยอะๆ และฝึกฝนบ่อยๆ คุณต้องทุ่มเทจริงๆ ครับ ผมใช้เวลาหลายชั่วโมงในฟิตเนส และต้องเตรียมอาหาร กินอาหารให้ถูกหลักและต้องรักษาวินัยอย่างเคร่งครัดด้วยครับ
Q: วันหนึ่งๆ ของการทำงานในกองถ่ายกับผู้กำกับไทก้า ไวทีติเป็นยังไงบ้าง
A: มีการเปิดเพลง มีการเต้น มีการคุยเรื่องตลกกัน มีเรื่องเพี้ยนๆ และความสนุกสนานมากมายครับ นอกจากนั้น ยังมีการสำรวจ การทดลองสิ่งต่างๆ เพื่อดูว่าเราจะผลักดันมันไปได้ถึงไหน อะไรทำนองนั้นน่ะครับ ผมต้องบอกว่านี่เป็นกองถ่ายที่สนุกสนานและเบาสมองที่สุดเท่าที่ผมเคยทำงานมา โทนของหนังเรื่องนี้มีส่วนสำคัญต่อสภาพแวดล้อมที่ไทก้าได้สร้างขึ้นด้วย มันทำให้คุณรู้สึกว่าโอเคในการทดลองสิ่งต่างๆ ที่คุณอาจจะยังไม่เคยลองมาก่อน หรือการทำอะไรนอกกรอบ คุณจะรู้สึกปลอดภัย ซึ่งคุณก็ต้องไว้วางใจผู้กำกับถึงจะทำแบบนั้นได้ ผมคิดว่าทุกคนรู้สึกแบบนั้นในหนังเรื่องนี้ มันเยี่ยมมากครับ
Q: คุณได้รับอะไรจากพิธีเปิดกล้องบ้าง
A: มันสวยงามครับ มีชาวเผ่าอะบอริจิน ผู้เป็นผู้พิทักษ์ผืนแผ่นดินตัวจริงมากล่าวคำอวยพรและการยอมรับแก่กันและกัน มันเป็นการเฉลิมฉลองการรวมตัวกันของผู้คน ที่มาอวยพรเราด้วยพลังงานแง่บวกสำหรับหนังเรื่องนี้ มันเป็นสิ่งที่พิเศษสุดและไม่เหมือนใครมากๆ และมันก็เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเข้าร่วมมาก่อนด้วย ผมได้ใกล้ชิดกับวัฒนธรรมอะบอริจินมาก็มากด้วยความที่ผมโตมาในชุมชนอะบอริจินและเคยเห็นระบำและพิธีตามธรรมเนียมดั้งเดิมมาแล้ว แต่มันไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการถ่ายทำมาก่อนเลย มันก็เลยเป็นเรื่องวิเศษสุดครับ
Q: อะไรที่ทำให้มาร์เวลประสบความสำเร็จเหลือเกิน
A: ผมคิดว่าเควิน ไฟกีและทีมงานของเขาเป็นกลุ่มคนที่ฉลาดที่สุดในวงการ พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่นำเสอไอเดียของซูเปอร์ฮีโรในระดับนี้และสไตล์นี้ และพวกเขาก็สามารถปรับตัวและเปลี่ยนแปลงได้เมื่อผู้ชมต้องการสิ่งที่แตกต่างออกไป พวกเขาทำการเปลี่ยนแปลงทิศทางได้อย่างแม่นยำมากครับ เควินและทีมงานของเขามีความรักให้กับเรื่องราวพวกนี้อย่างมาก พวกเขารักหนังสือการ์ตูนและตัวละครพวกนี้จริงๆ พวกเขารู้จักตัวละครพวกนี้มากกว่าพวกเราที่รับบทพวกนี้เสียอีก ซึ่งไม่มีแหล่งข้อมูลไหนที่ดีไปกว่านั้นอีกแล้วครับ

Facebook Comments
Share Button