“เดวิด อัศวนนท์” ผู้สะกดทุกบทบาทด้วยใจ
เป็นอีกหนึ่งนักแสดงคุณภาพ ที่เล่นมาแล้วทั้งบทใหญ่บทเล็ก กับ เดวิด อัศวนนท์ หลายๆ คนอาจจะพอคุ้นหน้าเขามาแล้วจากการเล่นละครหรือภาพยนตร์ในหลายบทบาท แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ชมหลายคนต้องตราตรึงการแสดงของเขานั้น คือบท เฮซุส หนุ่มโรคจิตจากภาพยนตร์เรื่อง เคาท์ดาวน์ นั้นเอง ขณะนี้หลายคนคงถึงบางอ้อกันแล้ว ล่าสุดเขายังลงเล่น มิวสิควิดีโอ “เธอเปลี่ยนไปแล้ว” จาก “SIN” ซึ่งนับว่าได้กระแสตอบรับดีมากๆ กับการถ่ายทอดบทบาทหัวหน้าครอบครัวในเอ็มวีนี้ เราลองมาทำความรู้จักคุณเดวิดในอีกมุมมอง ผ่านบทบาทการแสดงเอ็มวีกันดีกว่า….
ก่อนอื่นต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ รู้สึกเป็นเกียรติมากที่มาสัมภาษณ์ เพราะว่าตัวเราเองเราก็ทำหน้าที่ของเรา เวลาที่เราเล่นละครหรือเราเล่นหนัง เราก็แอคทีฟตัวเอง แต่ว่าเราไม่ได้คาดหวังกับวงการมาก เพราะเราอยู่กับตรงนี้มานาน เราก็รู้ว่ามันเป็นยังไง เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่เราจะไม่สัมภาษณ์ เพราะเราจะรู้ว่าสิ่งที่เราพูดไปส่วนใหญ่โดนตัดต่อ โดนตัดทิ้งหรือไม่ก็คนสัมภาษณ์ก็เอาคำพูดตัวเองมาใช้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำด้วยใจ สัมภาษณ์ด้วยใจ สัมภาษณ์ด้วยความรู้สึกที่เรากลั่นกรองมา ความคิดที่เรามีเขาก็ไปตัดต่อ สมัยนี้เราเลยจะไม่ค่อยให้สัมภาษณ์หรืออะไรมากเท่าไหร่ พอมีคนมาสัมภาษณ์ก็บอกไม่เป็นไรไม่ว่าง แต่ถ้าหากว่ารู้สึกกับเรามากขนาดนี้เราก็ยินดีที่จะสัมภาษณ์ เรายินดีมาก เรา happy อยากรู้แค่ว่าที่มาที่ไปของการสัมภาษณ์คืออะไร เพราะส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยได้ยินว่านักแสดงMV ให้สัมภาษณ์อะไรแบบนี้ซักเท่าไหร่
รู้สึกยังไงบ้างที่มาเล่นMVนี้
เราไม่ได้คิดอะไรมากนะ ตัวเราเองเราเป็นนักแสดงใครชวนให้เล่นอะไรส่วนใหญ่จะไม่ปฏิเสธ เราจะรับเล่นหมด ทีนี้ เราไม่ค่อยเสพอะไรในวงการมากซักเท่าไหร่ แต่เรามีความรู้สึกว่าบางที Music Video มันเล่นเยอะเกินไป มันบีบคั้นความรู้สึกอะไรแบบมันเกินความเป็นจริง แล้วเราติดเล่นจริง เราจะเล่นแบบมันไม่ใช่เสียใจน้ำตาระเบิด ดีใจเห็นฟัน32ซี่ เราเลยไม่ค่อยรับเล่นเอ็มวีซักเท่าไหร่ คือถ้าหากจะรับเล่นเอ็มวีคือเราต้องถูกโฉลกจริงๆ เพราะฉะนั้น “อั๊ด(ผู้จัดหานักแสดง)” ก็ทาบทามมา ว่าพี่คนนึงสนใจอยากให้พี่มาเล่นเอ็มวีนะ แล้วเราพอชอบใครจะไม่ค่อยปฏิเสธ เลยบอกอั๊ดได้ๆ เลย ถ้าเค้าสนใจในตัวเราถ้าเค้าชอบเรา มาเดี๋ยวเราเล่นให้ ก็เลยมาเจอ พี่เค-ไชยณรงค์ แต้มพงษ์ ตอนแรกก็มีสคริปส์มาให้ว่าตัวละครที่เราต้องเล่นต้องร้องไห้ฟูมฟักฟูมฟาย เราก็บอกเห้ย อั๊ดมันไม่ใช่นะ จะให้มาร้องไห้ฟูมฟักฟูมฟายมันไม่ใช่นะ แล้วจะให้เราฟูมฟักฟูมฟายเหมือนในเอ็มวีบางตัวมันไม่ใช่ ตัวเราเองเราไม่เชื่อไงว่าเวลาคนเราร้องไห้มันหนักขนาดนั้น โดยเฉพาะคนที่เราเป็น เราไม่ได้เป็นหนักขนาดนั้น เราก็เลยบอกเอาคนอื่นก็ได้นะ เราไม่ซีเรียสนะเพราะถ้าหากจะให้เราน้ำตาแตกมาแบบฟูมฟาย คือแบบมันไม่ใช่ เขาก็เลยคุยกับพี่เค พี่เคก็เลยบอกว่าไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ เอาตามสไตล์พี่นั่นแหละ เอาที่พี่เชื่อ เอาตามบทเท่าที่ควรจะเป็น ไม่เว่อร์เกิน เราบอกกับเค้าไว้ว่าเราจะไม่เล่นเว่อร์เกินเหมือนที่จะเห็นกันตามเอ็มวีทั่วไป แล้วด้วยวัย เราผ่านอะไรมาเยอะแล้วเรารู้มันไม่ใช่ เรารู้ว่าชีวิตคนเรามันไม่ได้ขนาดนั้น แล้วทีนี้เราก็เลยโอเค ตกลงมาเล่น พอเล่นก็คุยกับพี่เคเข้าขากันได้ดี เข้าใจตรงกันหมดทุกอย่าง เราเล่นอะไรเขาก็ปล่อยให้เราเล่น แล้วทีนี้พออะไรที่มันขาดไปเขาก็จะแบบ พี่ ผมขอเพิ่มตรงนี้อีกหน่อย เติมตรงนี้หน่อย อะไรแบบนี้ ก็ค่อนข้างจะราบรื่น โดยปกติเราก็เล่นแบบบทโหดๆ แต่การเล่นเอ็มวีนี้เราต้องเล่นเป็นบทพ่อ ต้องอบอุ่นมาก รักลูก ยิ้มเล็กยิ้มน้อยยิ้มหวาน ซึ่งคนส่วนใหญ่มันนึกไม่ออกหรอกว่าเราจะเล่นอบอุ่นได้ แล้วบทแบบนี้มันจะไม่ค่อยมีสำหรับเรา ก็เลยไม่รู้ว่าอั๊ดเห็นอะไรในตัวเรา พี่เคด้วย อาจจะเพราะเรื่อง O Negative แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรบันดาลใจให้เขารู้สึกว่าอาจารย์โก๊ะๆแบบนั้นจะมาเป็นพ่อคนได้ แต่เรารู้ว่าเราไปได้ถึงขนาดไหน ถึงจุดไหน แล้วเราก็รู้ว่าลิมิตของเราคืออะไร ลิมิตของเรารู้ว่าไม่ใช่แบบฟูมฟายเป็นบ้าเป็นบอ ไม่ถึงขนาดนั้น มันจะมีจุดของมันที่แบบเท่านี้นะ ถ้าหากว่าเราตกลงกันได้ก็โอเคเราร่วมงานกันได้ ซึ่งมันก็โอเค พองานออกมารู้สึกเป็นที่พอใจ คนก็ชอบกันเยอะ เราก็แฮปปี้กับทีมงาน เราเป็นคนขี้เล่นด้วย แล้วถ้ามันต้องมาเศร้าๆก็ขอเวลาแปปนึง บิ้วอะไรแบบนี้ พอเราพ้นตรงนั้นมาถึงช่วงเวลาที่เป็นตัวเองได้ ก็ตลกโปกฮา เต้นแร้งเต้นกา เล่าโจ๊กลามก ทุกคนก็เฮฮากันไป ลากยาวกันจนหกโมงเที่ยงคืนตีหนึ่งก็มี
จากที่เห็นว่าก็ได้รับบทบาทที่หลากหลาย แล้วเคยรับบทพ่อไหม
เคยเล่นเป็นพ่อ แต่มันจะไม่มีความอบอุ่นมากขนาดนี้ มันจะไม่สามารถบิ้วความสัมพันธ์ตรงนี้ได้ แต่ว่ากับเรื่องนี้เราเข้ากับน้องเขา มันอยู่ด้วยกันทั้งวัน แล้วก็เป็นลูกคนเดียว เราใช้เวลากับเขา เพราะฉะนั้นคนดูเขาจะสามารถมีอารมณ์ร่วมกับตัวละคร หรือว่ามีความผูกพันกับตัวละคร 3 ตัวนี้ได้เยอะกว่าและลึกซึ้งกว่า เพราะว่าเราอยู่กับลูกคนเดียวแล้วก็เหมือนมีหลายฉากที่เรามีควาน่ารัก มีความกุ๊กกิ๊ก มีความสุขด้วยกัน แต่พอมาถึงฉากที่แบบเขาตาย ก็แบบโห มันคือจิตวิทยาในการปั้นตัวละคร แล้วก็การสร้างความผูกพันระหว่างคนดูกับตัวละคร มันก็ต้องมีวิธี มีแนวคิด ซึ่งอะไรหลายๆอย่างที่มันพลาดไป ในการทำหนังทั่วไปไม่ว่าจะเป็นหนังประเทศไทยหรือหนังนอกประเทศ ที่บางทีการปั้นตัวละครหรือว่าการสร้างความผูกพันระหว่างคนดูกับตัวละครมันยังไม่ลึกซึ้งพอ พอเวลาดูละครตัวละครตายปุ๊บ คนดูก็ไม่รู้สึกอะไร บางเรื่องที่ตัวละครตาย คนดูก็อารมณ์แบบตายแล้วไง ไม่อิน อารมณ์แบบก็ตามเรื่องราวของมัน ก็น่าสงสารแต่มันไม่ช็อคในระบบเรา แต่ถ้าหากเราปูทางให้มันมีความผูกพัน มีสายใยระหว่างคนดูกับตัวละครปุ๊บ พอตัวละครเกิดอะไรขึ้นมาเราจะรู้สึกทันที แล้วเราก็จะอินไปกับมันด้วย เพราะฉะนั้นเพื่อที่จะตอบกับคำถามที่ว่ารับเล่นเอ็มวีมั้ย ก็คือไม่ค่อย นานๆที
อันนี้จะเป็นคำถามแนวคิดเกี่ยวกับตัวละคร อยากจะถามว่าสำหรับในเอ็มวี “เธอเปลี่ยนไปแล้ว” คิดว่าใครที่เป็นคนเปลี่ยนไป
มันคิดได้สองแง่สองมุม คือคิดจากมุมของตัวละครผู้ชาย ก็คิดว่าผู้หญิงเปลี่ยนไป แต่จากมุมมองของตัวละครผู้หญิง ก็คิดว่าผู้ชายเปลี่ยนไป มันอยู่กันคนละจุด ที่หญิงคิดว่าผู้ชายมันจะมีอาการของการมึนเมา การกินเหล้า เละเทะขึ้น ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับครอบครัวมากเท่ากับเมื่อก่อน บางสิ่งบางอย่างที่คิดไปเอง ส่วนตัวผู้ชายก็จะมีความรู้สึกว่าทำไมเธอไม่อ่อนหวานเหมือนสมัยก่อนที่เรายังคบกัน เธอแข็งกระด้างขึ้น ทำไมเธอเปลี่ยนไป ทำไมไม่เข้าใจ กินเหล้านิดหน่อยไม่เห็นเป็นอะไร หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็เลยแล้วแต่มุมมองของคน เพราะมันมองได้ทั้งสองแบบ จริงๆตัวผู้ชายก็ไม่อยากจะหย่า แต่ตัวผู้หญิงอยากหย่าเพราะเขาก็ไม่อยากจะอยู่ในสภาพอะไรแบบนี้ เพราะตัวผู้ชายก็ไม่ทำอะไรให้มันดีขึ้น ชีวิตผู้หญิงก็อยู่กับที่ มุมมองตรงนี้ก็อาจจะเป็นความรู้สึกที่ทำให้เขาไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว และอารมณ์ตรงนี้ที่ผู้หญิงเขามี ทำให้ผู้ชายรู้สึกไม่เข้าใจว่าทำไมเขาเปลี่ยนไป มันก็แล้วแต่คนมองเพราะก็ไม่ได้มีใครแย่สุดหรือดีสุด 100%
สุดท้ายแล้วอยากฝากอะไรถึงเอ็มวีนี้มั้ย
ขอให้คนดูรู้สึกสนุกสนาน และอิ่มเอมไปกับการดูเอ็มวีตัวนี้ เพลงนี้เพราะนะเราชอบ ปกติเราไม่ได้เป็นคนที่ชอบเพลงอะไรง่ายๆ เพราะสมัยนี้เพลงที่ออกมามันก็คล้ายๆกันหมด เหมือนเป็นเพลงที่ออกมาจากโรงงาน ผลิตออกมาให้คนฟังรู้เรื่อง ฟังง่ายๆแล้วก็จบ แต่ว่าเพลงนี้มันละเอียดอ่อนดี คำร้องก็ดี และที่สำคัญมากๆเลยคืออยากขอบคุณทีมงานทุกท่าน ทั้งพี่เค-ไชยณรงค์ แต้มพงษ์ ผู้กำกับเอ็มวีนี้ที่เห็นอะไรในตัวเราและไว้ใจให้เรามาเล่นเอ็มวีนี้ ขอบคุณคนเขียนบทที่ทำให้เราได้สนุกกับบทบาทใหม่ๆ ขอบคุณ SIN ที่ทำเพลงดีๆออกมา ขอบคุณน้องเอมมี่ และมิเน ที่เข้าถึงบทบาททำให้เอ็มวีนี้ออกมาดี ขอบคุณคอสตูม ช่างแต่งหน้าที่ดูแลเสื้อผ้าหน้าผมให้เรา ขอบคุณทีมงานเบื้องหลังและเบื้องหน้าทุกคนที่ทำงานกันอย่างหนักจนทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีครับ