#เหรียญกษาปณ์ อัน #ทรงคุณค่า #ในรัชกาลที่9
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชขึ้นครองราชย์ ใน พ.ศ. ๒๔๘๙ ยังมิได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชุดใหม่ออกใช้ในรัชกาล ด้วยระหว่าง พ.ศ. ๒๔๘๙-๒๔๙๓ อยู่ระหว่างเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

จนกระทั่งในวันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๔ เหรียญกษาปณ์ เหรียญแรกในรัชกาลจึงออกใช้ ซึ่งโดยขนบของเงินตราไทยในส่วนที่เป็นเหรียญกษาปณ์ จะนับเริ่มจากชนิดราคาสูงไปยังราคาต่ำ
ดังนั้นเหรียญแรกในรัชกาลคือ เหรียญอลูมิเนียมบรอนซ์ หรือที่ชาวบ้าน เรียกกันว่าเหรียญทองเหลือง ชนิดราคา ๕๐ สตางค์ เหรียญนี้มีส่วนผสมของทองแดง 91% อลูมิเนียม 9% ลักษณะเหรียญทองแดงนั้นมีสีทอง เนื่องจากส่วนผสมของทองแดง และอลูมิเนียมอัตราส่วนนี้ ทาให้เป็นสีทองเหลืองแทนที่จะเป็นสีแดงของทองแดง
ด้านหน้าเป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้านหลังเป็นรูปตราแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ ๕ เบื้องล่างระบุ พ.ศ. ๒๔๙๓ เหรียญนี้ ผู้ออกแบบและปั้นแบบด้านหน้าคือ กรมศิลปากร ส่วนผู้ออกแบบและปั้นแบบด้านหลัง คือ นายสานต์ เทศะศิริ กองกษาปณ์ กรมธนารักษ์
เหรียญบาทที่โดดเด่น
เหรียญชนิดราคา ๑ บาท เปรียบประดุจสัญลักษณ์ของเงินบาทไทย และเป็นตัวแทนค่าของเงินบาทเงินบาทมีวิวัฒนาการมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยในอดีตเงินตราไทยคือ เงินพดด้วง จะไม่ระบุชนิดราคาบนตัวเงิน ราคาของเงินขึ้นกับน้ำหนัก อันมีมาตรฐานคือ
๑ บาท เท่ากับโลหะเงินหนัก ๑๕.๒ กรัม ไทยเรามาเลิกทำเหรียญบาทจากโลหะเงินในปลาย สมัยรัชกาลที่ ๖ เพราะโลหะเงิน ๑๕.๒ กรัม มีค่ามากกว่าเหรียญที่มีชนิดราคา ๑ บาท ซึ่งกว่าจะมีการทำเหรียญบาทอีกครั้งก็ในรัชกาลที่ ๙ ซึ่งเปลี่ยนมาใช้โลหะอื่นที่ราคาถูกกว่าเงินแล้ว เหรียญบาทที่เปรียบเสมือนตัวแทนของเหรียญบาททั้งหลายในรัชกาลนี้คือ เหรียญ บาทที่แรกผลิตใน พ.ศ. ๒๕๐๕ เพราะมีขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางถึง ๒๗ ม.ม. น้ำหนัก ๗.๕ กรัม และสวยงาม ด้วยฝีมือการออกแบบและปั้นแบบด้านพระบรมรูป โดยนายสานต์ เทศะศิริ กองกษาปณ์ กรมธนารักษ์ (ด้านหลังใช้แบบเดิมของเหรียญบาท พ.ศ. ๒๕๐๐) ผลิตจากโลหะผสมที่เรียกว่า คิวโปรนิกเกิล (Cupro-Nickle) เหรียญนี้ผลิตติดต่อกันมา หลายครั้ง แต่มิได้เปลี่ยนเลข พ.ศ. ทั้งนี้ กรมธนารักษ์ได้นำเหรียญนี้ ออกจ่ายแลกตั้งแต่ วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๐๕ เป็นต้นไป

แรกมีเหรียญ 5 บาท
ประเทศไทยออกใช้ธนบัตรชนิดราคา ๕ บาท เป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ ๕ แต่เพิ่ง มีการผลิตและออกใช้หมุนเวียนเหรียญ ๕ บาท ก็ในสมัยรัชกาลที่ ๙ นี้เอง เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ ในห้วง พ.ศ.๒๕๑๕ ภาวะค่าครองชีพสูงขึ้น มีปริมาณการใช้ธนบัตรชนิดราคา ๕ บาทในท้องตลาด มาก แม้ว่าตั้งแต่ปี ๒๕๑๒ ประเทศไทยจะพิมพ์ธนบัตรได้เอง แต่ก็เกิดการขาดแคลน กอปรกับ ธนบัตรมีอายุงานเฉลี่ยราว 1 ปี ต้นทุนการผลิตค่อนข้างสูง รัฐบาลจึงมีแผนที่จะยกเลิกการผลิต ธนบัตร ๕ บาท (ยุติการผลิตธนบัตรชนิดราคานี้ราว ๆ พ.ศ.๒๕๑๗-๒๕๑๘) โดยผลิตเหรียญ ๕ บาท แทน รัฐบาลจึงออกกฎกระทรวงการคลัง ฉบับที่ ๑๔ ลงวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๑๕ ให้ผลิตเหรียญ
๕ บาท โดยให้มีรูปทรงเก้าเหลี่ยม มีความหมายถึงรัชกาลที่ ๙ ผู้ออกแบบและปั้นแบบด้านหน้าคือ นายไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ กรมศิลปากร ส่วนผู้ออกแบบและปั้นแบบด้านหลงั คือนายสานต์ เทศะศิริ กรมธนารักษ์ เหรียญนี้ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่มีการปลอม เหรียญนี้ออกมาในท้องตลาดมากแม้จะกวดขันจับกุมก็ไม่ทำให้เหรียญปลอมลดลงได้ ทำให้ประชาชน ไม่กล้ารับชำระหนี้ด้วยเหรียญนี้ กระทรวงการคลังจึงออกพระราชกำหนดถอนคืนเมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๒๑ เป็นกรณีเร่งด่วน

เหรียญพระครุฑ
เนื่องจากเหรียญพระบรมรูป-ตราแผ่นดิน ชนิดราคา ๑ บาทที่ออกใช้มาตั้งแต่ปี ๒๕๐๕ นั้น ขนาด ๒๗ ม.ม. เท่ากับเหรียญพระบรมรูป-พระครุฑพ่าห์ ชนิดราคา ๕ บาท พ.ศ.๒๕๑๕ แม้ว่า กรมธนารักษ์จะได้ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดความสับสน ด้วยการออกแบบรูปทรงเก้าเหลี่ยมแล้วก็ตาม แตโ่ ดยหลักกษาปณ์สากลแล้ว เหรียญที่ราคาต่างกันเช่นนี้ ไม่ควรมีขนาดที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้น ในปี ๒๕๑๗ รัฐบาลจึงให้กรมธนารักษ์ผลิตเหรียญกษาปณ์ ๑ บาทแบบใหม่ขึ้น เป็นเหรียญกษาปณ์ พระบรมรูป-ตราพระครุฑพ่าห์ พ.ศ.๒๕๑๗ ให้มีน้ำหนักและขนาดเล็กกว่าเหรียญบาท พ.ศ.๒๕๐๕ ลดขนาดลงจาก ๒๗ ม.ม.เหลือ ๒๕ ม.ม. และลดน้ำหนักลงจาก ๗.๕ เป็น ๗ กรัม ด้านหลังเปลี่ยนเป็น ตราพระครุฑพ่าห์ เพื่อให้สอดคล้องเป็นเงินตราชุดเดียวกับเหรียญกษาปณ์ ๕ บาท รุ่นเก้าเหลี่ยม เหรียญ นี้ผู้ออกแบบด้านหน้าคือนางไพฑูรย์ศรี ดีปานวงศ์ ด้านหลังนางสาวปราณี คล้ายเชื้อวงศ์ ส่วนผู้ปั้นแบบ ด้านหน้าคือนางไพฑูรย์ศรี ดีปานวงศ์ ด้านหลังคือนายมนตรี ดีปานวงศ์ ทุกท่านสังกัดกรมธนารักษ์ เหรียญรุ่นนี้มีการผลิตในปีต่อ ๆ มา โดยไม่เปลี่ยน พ.ศ. และเป็นเหรียญบาท เหรียญหนึ่งที่ประชาชน นิยมมากเพราะด้านหลังเป็นรูปครุฑ อีกทั้งมีการผลิตน้อยเพราะระยะเวลาออกใช้ราว ๓-๔ ปีเท่านั้น

เหรียญ 5 บาท พระครุฑเฉียงซ้าย
เนื่องจากเหรียญ ๕ บาท เก้าเหลี่ยม พ.ศ.๒๕๑๕ มีลวดลายและรูปแบบไม่ซับซ้อน เป็นเหตุให้มีผู้ทำปลอมขึ้นเหรียญชนิดราคา ๕ บาทแบบใหม่ขึ้น โดยทำการแก้ไขลักษณะและลวดลายของเหรียญกษาปณ์ทั้งหมดเพื่อให้ทำการปลอมแปลงได้ยาก ข้อสังเกตคือมีการใช้พระปรมาภิไธย “สยามมินทร์” บนเหรียญเป็นครั้งแรก ผู้ออกแบบด้านหน้า คือนางสาวสุภาพ อุ่นอารีย์ ผู้ออกแบบด้านหลังคือ นายสานต์ เทศะศิริ ส่วนผู้ปั้นแบบด้านหน้า คือนายมนตรี ดีปานวงศ์ ผู้ปั้นแบบด้านหลังคือนายสานต์ เทศะศิริ ทั้งหมดเป็นข้าราชการกรม ธนารักษ์ ประกาศออกใช้เหรียญรุ่นใหม่นี้เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๒๐ เหรียญรุ่นนี้เป็นเหรียญ กษาปณ์คิวโปรนิกเกิลสอดไส้ทองแดง ขอบเรียบ ตัวเหรียญประกอบด้วยทองแดง ๗๕ % และ นิกเกิล ๒๕ % ที่ริมขอบเหรียญจะมองเห็นไส้ทองแดงได้อย่างชัดเจน ระบุว่า “กองกษาปณ์ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง” ซึ่งเทคนิคการอัดโลหะเป็นชั้นและการทำขอบเหรียญแบบนี้ เป็นวิธีการที่นำมาใช้ในเหรียญกษาปณ์ไทยเป็นครั้งแรก
เหรียญปลีก รวงข้าว
ในสมัยคุณพ่อคุณแม่ยังหนุ่มยังสาว เศษสตางค์ยังมีคุณค่า ราว พ.ศ.๒๕๑๔ สมัยรัฐบาลคณะปฏิวัติโดยจอมพลถนอม กิตติขจร มีการขึ้นราคาค่ารถเมล์ประจาทาง จาก ๕๐ สต. เป็น ๗๕ สต. ได้มีกลุ่มนักศึกษาเรียกร้องให้ลดราคาเท่าเดิม ด้วยการใช้ คำขวัญว่า “พึงขจัด ๗๕ เหลือ ๕๐” อันแสดงว่าเงิน ๕๐ สต.และ ๒๕ สต. ก็มี ความสาคัญต่อการครองชีพของประชาชน ซึ่งในเวลาที่กล่าวถึงนี้ชาวบ้านใช้เหรียญ
๕๐ สต. และ ๒๕ สต.ในรูปแบบที่ออกใช้มาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๐ จนกระทั่งในปี ๒๕๑๙ รัฐบาลเห็นว่าบ้านเมืองประสบปัญหาเงินเฟ้อ ส่งผลให้ราคาของโลหะตลอดจนต้นทุน การผลิตเหรียญสูงขึ้นกว่าราคาหน้าเหรียญเป็นอย่างมาก ควรปรับปรุงแก้ไขลักษณะมา เป็นเหรียญกษาปณ์ทองเหลืองแบบใหม่ โดยลดส่วนผสมที่เป็นทองแดงลงเพื่อลดต้นทุน กรมธนารักษ์จึงได้ออกแบบภาพพระบรมรูปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขึ้นใหม่ ส่วนตราด้านหลังได้ใช้ภาพรวงข้าว ประกอบกับตัวอักษรบอกราคาที่เห็นได้ชัดเจนขึ้น เหรียญ ๒๕ สต.ออกใช้ก่อนในปี ๒๕๑๙ ส่วน ๕๐ สต.ออกปี ๒๕๒๓ และถือว่าเป็น เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนที่ไม่มีสัญลักษณ์ตราแผ่นดินเป็นครั้งแรกในรัชกาลที่ ๙

เหรียญคู่แฝด
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเหรียญกษาปณ์พระบรมรูป-เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ชนิด ราคา ๕ บาท พ.ศ. ๒๕๓๐ ซึ่งมีลักษณะคล้ายเหรียญบาท พ.ศ. ๒๕๒๐ ที่ด้านหน้าเป็นพระบรมรูป รัชกาลที่๙ด้านหลังเป็นรูปเรือพระที่นั่งสพุรรณหงส์เช่นเดียวกันกล่าวคือในปี๒๕๓๐กรมธนารักษ์ได้ผลิตเหรียญ ๕ บาทแบบใหม่ขึ้น เป็นเหรียญทองขาว (คิวโปรนิเกิล) สอดไส้ทองแดง โดยมี การนำภาพ ส่วนโขนเรือพระที่นั่งสพุรรณหงส์ มาใช้เป็นภาพประธานด้านหลังของเหรียญ แต่เหรียญดังกล่าวมีลักษณะและลวดลายคล้ายเหรียญบาทปี๒๕๒๐มากต่างเป็นเพราะเน้นการ ใช้ส่วนโขนเรือซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ความโดดเด่นอีกทั้งมีขนาดที่แตกต่างกันเพียง๑ม.ม. การที่เหรียญทั้งสองชนิดใช้สอยปะปนกันในท้องตลาดทำให้ประชาชนสับสนมาก คนส่วนใหญ่นิยม นาสีเมจิกมาเขียนเลข 5 บนเหรียญเพื่อแยกความแตกต่าง ด้วยเหตุนี้กรมธนารักษ์จึงยุติการผลิต เหรียญรุ่นนี้ในปี๒๕๓๑และเปลี่ยนไปใช้ภาพพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามแทน จึงทำให้เหรียญรุ่นนี้ผลิตออกใช้ในปี ๒๕๓๐ และ๒๕๓๑ เท่านั้น ส่วนเหรียญบาทเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ในเวลาต่อมาคือในปี๒๕๓๘ได้เป็นส่วนหนึ่งของเหรียญที่คืนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เหรียญกษาปณ์หมุนเวียนของไทย โดยมีการถอนคืนเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนใน รัชกาลที่ ๙ ชนิดราคา ๕ บาท ๑ บาท ๕๐ สต. และ ๒๕ สต. ที่ใช้สอยอยู่ในท้องตลาดเวลานั้น เพื่อป้องกันมิให้ประชาชนเกิดความสับสนในการใช้เหรียญกษาปณ์ชนิดราคาเดียวกันแต่มีขนาด แตกต่างกัน

เหรียญ 10บาท
จากการศึกษาวิจัยของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ในปี ๒๕๒๕ เกี่ยวกับ การคาดการณ์ชนิดราคาของเหรียญกษาปณ์ที่พึงมีใช้ระหว่างปี ๒๕๒๖-๒๕๓๕ พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ เสนอให้รัฐบาลผลิตและออกใช้เหรียญชนิดราคา ๒๕ ๕๐ สตางค์ ๑ ๒ ๕ บาท และเสนอให้ผลิตชนิด ราคาใหม่คือ ๑๐ บาท หากประเทศมีอัตราการขยายตัวของระดับค่าครองชีพที่สูง ดังนั้น ในปี ๒๕๒๙ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาเหรียญกษาปณ์ระบบ กรมธนารักษ์จึงให้ทำการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเหรียญ กษาปณ์หมุนเวียนใหม่ทั้งหมด โดยปรับเปลี่ยนขนาด น้ำหนัก ตลอดจนส่วนประกอบต่าง ๆ ของเหรียญให้ เป็นไปตามต้นทุนที่แท้จริง โดยเน้นการลดขนาดของเหรียญลง และนำเอกลักษณ์สำคัญที่สื่อความหมายถึง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มาไว้บนเหรียญอย่างครบถ้วน โดยด้านหน้าเป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หมายถึง สถาบันพระมหากษัตริย์ ด้านหลังมีคำว่า ประเทศไทย หมายถึง สถาบันชาติ และ ภาพวัดสำคัญ หมายถึง สถาบันศาสนา อันถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสาคัญของระบบเงินตราไทย นอกจากนี้ยังได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์โลหะสองสี พระบรมรูป-พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม ชนิด ราคา ๑๐ บาท ขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๓๑ เพื่อทดแทนการใช้ธนบัตรชนิดราคา ๑๐ บาท ที่ธนาคารแห่งประเทศ ไทยจะหยุดผลิต

เหรียญ2บาท
ประเทศไทยมีการออกใช้เหรียญชนิดราคา ๒ บาท มาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๒ แต่เป็น เหรียญที่ระลึก ในโอกาสที่สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ฯ ทรงสำเร็จการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากนั้นก็มีการออกใช้เหรียญที่ระลึกชนิดราคานี้อีกหลายวาระ แต่กว่ากรมธนารักษ์จะออกใช้เหรียญหมุนเวียนชนิด ๒ บาทก็เข้าสู่ พ.ศ.๒๕๔๘ เนื่องจาก การศึกษาโครงสร้างเหรียญกษาปณ์พบว่า มีการใช้ชนิด ๑ บาทมากที่สุดถึงร้อยละ ๕๖.๑๐ ของเหรียญกษาปณ์ทั้งหมด จึงเห็นควรให้ผลิตเหรียญหมุนเวียนชนิดราคา ๒ บาท เพิ่มเติม เข้ามาในระบบ ซึ่งเป็นตามหลักทฤษฎีอนุกรมเหรียญ (Binary Decimal System) โดยผลิต เป็นเหรียญชุบเคลือบไส้เหล็ก (Nickel Plated Steel) ซึ่งคงทน ยากต่อการปลอม วงขอบ นอกเป็นเฟืองจักรสลับเรียบ ผู้พิการทางสายตาแยกความแตกต่างได้และยังนำมาใช้กับเครื่อง หยอดเหรียญได้ แต่เมื่อใช้ได้ระยะหนึ่งพบว่าการที่มีขนาดและสีใกล้เคียงเหรียญบาท ทำให้ประชาชนสับสน บ้างถึงกับใช้สีเมจิกเขียนกากับราคาบนเหรียญ จึงได้ปรับปรุงให้เป็นโลหะ อะลูมิเนียมบรอนซ์ สีทอง ออกใช้ตั้งแต่วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ เป็นต้นมา