Share Button

มองความรักแบบรู้จักชีวิต ผ่านเพลง “บังคับให้ยอมรับได้” เพลงใหม่จาก อ้อม-จารุวัฒน์ “ตอนที่ได้กลับมาเข้าห้องอัดอีกครั้ง แน่นอนว่าเรามีความรู้สึกอยู่ตลอดว่า ต้องทำออกมาให้ดี” อ้อม-จารุวัฒน์ อธิปวัฒนากร หรือที่แฟนเพลงยุค 90s รู้จักกันดีในชื่อของ “อ้อม อินคา” พูดถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างทำซิงเกิลเดี่ยวของเขา ซึ่งเป็นครั้งแรกของการร่วมงานกับสนามหลวงมิวสิก

“บังคับให้ยอมรับได้” คือชื่อของซิงเกิลนี้ที่อ้อมหยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่าเรื่องราวความรักผ่านบทเพลงอีกครั้ง แต่สิ่งที่ต่างไปจากงานเพลงของเขาที่ผ่านมาและต่างจากศิลปินอีกหลายคนที่มีผลงานเพลงในช่วงเดียวกันนี้ น่าจะมาจากเนื้อหาของเพลงที่ถ่ายทอดอารมณ์ของคนที่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากผิดหวัง ผ่านมุมมองของคนที่ผ่านประสบการณ์มามากพอที่จะทำให้เข้าใจชีวิต


“สถานการณ์ที่ใจโดนบังคับให้ยอมรับได้จริงๆ แล้วมันเป็นความรู้สึกที่ลึกมากนะ คนที่เจอเรื่องแบบนี้ในชีวิตจริง แล้วจะรับได้ ปลอบใจตัวเองได้โดยไม่ฟูมฟาย จะต้องกลั่นกรองความคิดของตัวเองมาแล้ว มันเป็นความรักแบบรู้จักชีวิต” อ้อมขยายความเกี่ยวกับอารมณ์เพลง โดยคอนเซปต์ของเพลงนี้เริ่มต้นจาก หมู-บัณฑิต แซ่โง้ว หรือ หมู Muzu ศิลปินและนักแต่งเพลงที่ถนัดในการนำความเศร้ามาเล่าเป็นเพลง ซึ่ง “บังคับให้ยอมรับได้” เป็นอีกเพลงหนึ่งที่มาจากปลายปากกาของเขา
“เรารู้จักกับหมูมาหลายปีแล้ว ที่ผ่านมาก็ร้องและเล่นดนตรีด้วยกันในนามวง Give Me Five แต่หมูเขาฟังเพลงเรามานานตั้งแต่ก่อนหน้านั้น พอคุยกันว่าจะทำเพลงใหม่ เขาก็บอกเลยว่า ผมรู้อยู่แล้วว่าเพลงพี่ต้องเป็นแนวไหน” อ้อมพูดถึงการทำงานกับศิลปินรุ่นน้อง ซึ่งเพลงแนวที่หมูมองว่าเหมาะกับศิลปินรุ่นพี่นั้น คือเพลงป็อปร็อกฟังง่าย ดนตรีไม่ซับซ้อน ฟังแล้วเห็นภาพของคนที่ผ่านโลกมาในระดับหนึ่ง แต่มีความสมัยใหม่อยู่ในซาวนด์เพลง นอกจากหมูแล้ว เพลงนี้ยังได้ แก๊ก-มุขเอก จงมั่นคง คนดนตรีที่มีประสบการณ์หลากหลาย ทั้งเป็นศิลปินเอง โปรดิวซ์งาน และเป็นโปรโมเตอร์ให้กับศิลปินดังหลายราย มาช่วยเขียนเนื้อร้องของเพลงให้สมบูรณ์ขึ้น “เดิมทีพี่หมูมีเมโลดี้กับท่อน verse ของเพลงนี้มาก่อนแล้ว และเป็นหนึ่งในเพลงที่เขาชวนผมมาให้ช่วยกันแต่งต่อให้จบ จนวันหนึ่งตอนที่ซ้อมดนตรีอยู่ด้วยกัน เขาก็ถามขึ้นมาว่า ท่อนพรีร้องว่า ปลอบใจตัวเองอยู่ทุกวัน มันเป็นเรื่องธรรมดา ดีไหม ผมฟังแล้วก็คิดต่อว่า เมื่อคนเราจะไป รั้งไว้ยังไงก็แค่ซื้อเวลา มันเป็นสองท่อนในเพลงนี้ที่มาในเวลาพร้อมกัน แต่เนื้อเรื่องของทั้งเพลงนั้น สุดท้ายแล้วเรากลั่นมาจากประสบการณ์หลายๆ เรื่องของหลายๆ คน แล้วเล่าทั้งหมดโดยคนที่เข้าใจชีวิต เพราะช่วงที่เขียนเพลง พี่หมูจะมีภาพในใจเป็นภาพพี่อ้อมนั่งจิบกาแฟแล้วนึกถึงเรื่องราวที่กลั่นออกมาเป็นเพลง” แก๊กเล่าถึงเบื้องหลังการแต่งเพลงนี้

สำหรับคนที่เคยฟังเพลงของอินคามาตั้งแต่ยังเด็กอย่างแก๊ก การทำเพลงของศิลปินที่เคยประสบความสำเร็จอย่างมากในยุคหนึ่งถือเป็นทั้งความตื่นเต้นและความท้าทายในฐานะคนเบื้องหลัง รวมถึงเป็นการสร้างมาตรฐานให้กับผลงานด้วย“ความตื่นเต้นอยู่ตรงที่ว่าตัวพี่อ้อมและเพลงของอินคาเองมันได้พิสูจน์ตัวเองมาแล้วในระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าเราทำเพลงออกมาก็ต้องให้ได้มาตรฐานที่ไม่น้อยกว่านั้น เป็นเพลงที่คิดว่า สมมติถ้าวันหนึ่งเพลงนี้จะต้องไปอยู่ในชุดรวมฮิตกับเพลงอื่นๆ ของอินคา มันจะต้องอยู่ได้โดยไม่เขิน ไม่ว่าจะโดยเนื้อหา ทำนอง การเรียบเรียง และการบันทึกเสียง “ไม้บรรทัดที่ผมใช้วัดมาตรฐานของเพลงนี้ไม่ได้อยู่ที่ความดัง แต่พอเราทำงานมาพอสมควร เราก็จะรู้ว่าความประณีตของเพลงนี้อยู่ที่ตรงไหน ทั้งการเรียบเรียงและซาวนด์ดนตรีที่ทำออกมา สิ่งเหล่านี้เป็นตัวพิสูจน์มาตรฐานของเราตั้งแต่ตอนทำงานแล้ว สำหรับเรื่องว่าจะถูกหูคนฟังไหม คนจะชอบกันหรือเปล่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” แก๊กพูดถึงมุมมองของเขาในการทำเพลงนี้

ส่วนมิวสิกวิดีโอเป็นเรื่องรักสามเส้าที่คนดูหลายคนลงความเห็นว่า “พีค” เพราะใช้พล็อตเรื่องที่สะท้อนความหมายของการโดนบังคับให้เป็นฝ่ายเจ็บ และไม่มีทางเลือกอะไรนอกจากจะปลอบใจตัวเองให้ยอมรับได้ในสักวัน ในฐานะเจ้าของเพลงที่สื่อสารอารมณ์ในทุกคำที่ร้อง อ้อมเชื่อว่าเพลงนี้จะสามารถเข้าถึงความรู้สึกของคนฟังที่เคยอยู่ในสถานการณ์นี้ได้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลว่า “ทุกท่อนของเพลงนี้มันตอบคำถามในใจเอาไว้หมดแล้ว ตั้งแต่ท่อนแรกที่ร้องว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ ฟ้าคงสว่างสดใส ผ่านพ้นคืนนี้ ฉันคงมีแรงเริ่มใหม่ ซึ่งจริงๆ แล้วเราไม่รู้หรอกว่าพรุ่งนี้เราจะทำได้อย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า แต่อย่างน้อยเราก็ยอมรับและคาดหวังว่าอะไรๆ มันจะดีขึ้นในวันพรุ่งนี้”

Facebook Comments
Share Button