Share Button

THE WIFE กำหนดฉาย 13 กันยายน 2561

The Wife เล่าเรื่องราวอันฉลาดแหลมคมที่เปิดเผยตัวตนของ โจน แคสเซิ่ลแมน ผู้แต่งงานกับยักษ์ใหญ่แห่งวงการวรรณกรรม โจเซฟ แคสเซิ่ลแมน ชายผู้ปกครองโลกทั้งใบและยังเป็นผู้ที่ไม่รู้จะปกป้องดูแลผู้อื่นและตัวเองอย่างไร
โจคือหนึ่งในยอดนักเขียนที่โดดเด่นเกินใครในอเมริกา เขากำลังจะได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ภรรยาของเขาคือ โจนผู้สง่าและทรงเสน่ห์ เธอใช้เวลา 40 ปีมองข้ามความสามารถของตนเองแล้วคอยเป็นแรงผลักดันให้สามีประสบความสำเร็จ แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจยุติบทบาทหน้าที่นั้นลง
หลังรู้ข่าวว่าโจจะได้รางวัลโนเบล ครอบครัวแคสเซิ่ลแมนจึงเดินทางไปยังประเทศสวีเดน โจผู้หัวดื้อและบางครั้งก็เย่อหยิ่งได้หลงใหลในคำชื่นชมและเกียรติยศ ส่วนโจนยินดีที่จะได้ช่วยเหลือสามีของตัวเองจากเบื้องหลัง เธอไปร่วมงานรับรางวัลพร้อมกับคนรัก เธอได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเพื่อนร่วมงานของโจ โจบอกใครต่อใครว่าภรรยาของเขาไม่เขียนหนังสือ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าตัวเธอนั้นเคยมีความทะเยอทะยานอยากเป็นนักเขียน
จากนั้นเรื่องราวได้ย้อนอดีตกลับไปในช่วงที่โจนยังเป็นนักศึกษา และได้หลงใหลในตัวของอาจารย์สอนวิชาการเขียนอย่าง โจ แคสเซิ่ลแมน ณ ตอนนั้น โจก็เป็นนักเขียนหน้าใหม่ที่อวดรู้อวดเก่ง เขามีภรรยา มีลูก แต่ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน แล้วความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ก็เริ่มก่อตัวก่อนที่ทั้งคู่จะย้ายมาอยู่ด้วยกันในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ แห่งหนึ่ง
เวลาผ่านไปหลายต่อหลายปี แต่โจก็ยังคงเป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์เช่นเคย แม้กระทั่งการมารับรางวัลที่สต็อกโฮล์ม เขาก็ยังพยายามเกี้ยวพาราสีตากล้องสาวที่ถูกส่งตัวมาให้บันทึกเรื่องราวของเขา
ตอนยังสาว โจนต้องเผชิญหน้ากับการเหยียดเพศในวงการนักเขียนช่วงปี 1960s เธอได้งานที่สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง แต่ก็ได้ทำแค่ชงกาแฟให้ผู้บริหารผู้ชายเท่านั้น แต่เธอสบโอกาสส่งงานเขียนของโจเข้าไปให้กองบรรณาธิการพิจารณา เมื่อเธอพยายามให้คำแนะนำด้านการเขียนแก่เขา โจก็มีน้ำโหและไม่สามารถรับคำวิจารณ์ได้ โจนจึงอาสาที่จะช่วยปรับแก้งานของเขา กลายเป็นจุดเริ่มต้นการร่วมงานที่ทำให้ฝ่ายชายกลายเป็นเจ้าแห่งวงการในปัจจุบัน
เมื่อมาถึงสต็อกโฮล์ม โจดูเหมือนจะลืมชื่อของตัวละครในนิยายที่เขาแต่ง โจนจึงรีบแก้ตัวแทนเขาต่อหน้าลูกชายขี้สงสัย เดวิด ด้านของ เดวิด เองก็ใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียนด้วย แต่เมื่อพ่อวิพากษ์วิจารณ์งานของเขา ทำให้เดวิดกลายเป็นคนเก็บตัว ขัดข้องหมองใจ และมักไม่เชื่อในพ่อตัวเอง
แต่ไม่ได้มีเพียงเดวิดที่ไม่เชื่อพ่อของตัวเอง นักข่าวจอมเซ้าซี้น่ารังเกียจ เนธาเนี่ยล โบน ก็คอยจับตาดูครอบครัวแคสเซิ่ลแมนอย่างใกล้ชิด และติดตามพวกเขามาถึงโรงแรมด้วย เขาพยายามเข้าหาครอบครัวเพื่อขุดคุ้ยถึงประวัติส่วนตัว แต่ถึงแม้จะพยายามเจาะข้อมูลผ่านโจนก็ไม่พบข้อมูลอะไรเพิ่มเติม
และในค่ำคืนของพิธีรับรางวัลก็มาถึง โจนบอกกับโจว่าเธอจะเลิกกับเขา แต่เขากลับล้มป่วยด้วยโรคหัวใจ โจนจึงยุติความคิดดังกล่าวชั่วคราวแล้วพยายามช่วยเหลือสามี อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่ออกมากลับไม่เป้นไปตามที่เธอคาดคิด
The Wife เผยให้เห็นถึงคู่รักอันโด่งดังที่ก่อให้เกิดคำถามถึงธรรมชาติของการเป็นคู่ชีวิตที่นำไปสู่การแตกหัก และที่ทางของผู้หญิงจอมทะเยอทะยานในโลกของผู้ชาย ปิดท้ายด้วยความตกตะลึงและบทสรุปที่ไม่อาจลืมเลือนได้


ถ้อยแถลงของผู้กำกับ
“สำหรับผม หนังเรื่องนี้เปรียบได้กับเสียงดนตรีที่ถูกบรรเลงโดยเครื่องดนตรี 2 ชิ้น ในแบบเดียวกับการแสดงของ เกล็นน์ โคลส และ โจนาธาน ไพรซ์ ซึ่งเป็น 2 เครื่องดนตรีที่ร่วมบรรเลงบทเพลงด้วยกัน ตอนที่ลำดับภาพหนังเรื่องนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะแยกเรื่องราวในหนังออกไปจากการแสดงของทั้งคู่ พวกเขามีความสามารถในการตีความบทภาพยนตร์ให้กลายเป็นการแสดงอันยอดเยี่ยมได้อย่างลึกซึ้งและน่าทึ่ง ทำให้นี่ไม่ใช่หนังที่ขับเคลื่อนไปด้วยเนื้อหาเพียงเท่านั้น
ความทะเยอทะยานของผมในฐานะผู้กำกับคือการค้นหาวิธีว่าจะทำอย่างไรถึงจะปลดปล่อยนักแสดงให้เป็นอิสระได้ ท้ายที่สุด ทุกอย่างลงเอยที่การค้นหาเสียงดนตรีที่ใช่ ปล่อยให้มันบรรเลงไป ในกรณีที่ดีที่สุด คนดูจะได้ร่วมแชร์จังหวะไปกับเสียงดนตรี ผ่านช่วงเวลาอันแสนล้ำค่าในหนังเรื่องนี้ด้วย”
บยอร์น รัจน์, ผู้กำกับ The Wife

ชีวิตคู่ ความสามารถ ความลับ : การดัดแปลงงานเขียนขึ้นชื่อสู่จอใหญ่
เรื่องราวอันจับใจของความรัก ชีวิตคู่ และความลับที่ถูกเก็บซ่อนไว้ได้ปรากฏขึ้นมาในภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ด้านบวกอย่างล้นหลาม The Wife กำกับโดยยอดผู้กำกับจากประเทศสวีเดน บยอร์น รันจ์
เรื่องราวว่าด้วยชีวิตคู่อันยาวนานซึ่งตั้งอยู่บนความปรารถนา ความทะเยอทะยานและความออมชอมต่อกันอย่างใหญ่หลวง ซึ่งท้ายที่สุดต้องพบกับจุดตกต่ำในเวลาต่อมา นี่คือภาพยนตร์ที่ละเอียดลออและสำรวจชีวิตคู่อันแก่เถ้าและซับซ้อน และยังเป็นการสังเกตการณ์ธรรมชาติของมนุษยที่อยู่ภายใต้หน้ากากหลายใบ
The Wife มาพร้อมการแสดงอันทรงพลังของ เกล็นน์ โคลส และ โจนาธาน ไพรซ์ และยังมีทีมนักแสดงต่างชาติอันเก่งกาจอยู่รายรอบ
เรื่องราวในหนังมีฉากหลังอยู่ในช่วงปี 1990s และฉากในอดีตปี 1950-1960 ช่วงที่ความสัมพันธ์ของตัวละครหลักเพิ่มเริ่มต้นขึ้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนิยายที่เป็นที่รักของใครหลายๆ คนของ เม็ก โวลิทเซอร์
สำหรับผู้เขียนบทหนังเรื่องนี้ เจน แอนเดอร์สัน (How to Make an American Quilt, Olive Kitteridge) ภาพยนตร์เรื่องนี้มอบโอกาสให้เธอได้เล่าเรื่องราวของชีวิตคู่และความกระหายความสำเร็จที่เป็นเอกลักษณ์ และมุมมองที่เป็นทางการน้อยกว่า
“ย้อนกลับไปในปี 2003 ตอนที่นิยายอันยอดเยี่ยมของ เม็ก โวลิทเซอร์ ออกมา พอฉันได้อ่านแล้วพบว่าประทับใจมากๆ ค่ะ เม็กเล่าเรื่อราวที่แสนจะบั่นทอนจิตใจเกี่ยวกับการเป็นนักเขียนหญิง มุมมองที่ว่าการเป็นภรรยาของยอดนักเขียนที่ยิ่งใหญ่มันเป็นเช่นไร และท้ายที่สุดเธอได้ค้นพบว่าตัวเองนั่นแหละที่ที่ได้รู้ตัวว่าเธอมีความสามารถที่แท้จริง” แอนเดอร์สัน อธิบาย
ถึงกระนั้น แอนเดอร์สัน ยังรู้สึกว่ามีเรื่องราวที่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอยู่เพื่อให้ตัวหนังสือกลายเป็นภาพบนจอได้อย่างไหลลื่น “เมื่อคุณดัดแปลงงานเขียนให้เป็นหนัง คุณต้องปรับเปลี่ยนหลายอย่างเพื่อให้เพื่อให้เรื่องราวมีความดราม่ามากขึ้น น่าตื่นเต้นขึ้น และมีประกายขึ้น รางัวลที่ตัวละครของโจได้รับนั้น ในนิยายเป็นรางวัลที่เฮลซิงกิ แต่ฉันตัดสินใจเปลี่ยนให้เป็นรางวัลโนเบลแทนเพื่อสร้างสถานการณ์ให้ยิ่งใหญ่ขึ้น ฉันยังเติมรายละเอียดในเรื่องราวให้มีความเป็นภาพยนตร์มากขึ้น ซึ่งว่าด้วยลูกชายที่ไม่ค่อยลงรอยกับ โจและโจน แคสเซิ่ลแมน”
สำหรับ แอนเดอร์สัน การเลือก เกล็นน์ โคลส มารับบทนำนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับการสร้างหนังเรื่องนี้ มันช่วยเติมความสง่างามและไม่สมบูรณ์แบบของผู้หญิงที่น่าสนใจมากๆ “ตัวละคร โจน แคสเซิ่ลแมน ถูกกักขังไว้ข้างในลึกๆ เธองดงามและขี้อาย และต้องอยู่เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของสามี ใครจะเล่นบทนี้ได้ดีเท่ากับ เกล็นน์ โคลส ที่สง่างามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และเป็นนักแสดงที่ฉลาดมากๆ ด้วยล่ะ”
แอนเดอร์สัน หวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะก่อให้เกิดการถกเถียงเรื่องชีวิตคู่ ความลับที่ต้องปิดบังและความอะลุ่มอล่วยที่ต้องยอมทำ “ตอนเขียนบท ฉันถามตัวเองว่า คนดูจะมีปฏิกิริยายังไงเมื่อหนังจบลงและกำลังเดินออกจากโรง ฉันคิดว่าสิ่งที่พวกเขาจะคุยกันคือเรื่อง คนรักจะประนีประนอมอะไรกันบ้างเมื่อใช้ชีวิตคู่ ความลับที่มีระหว่างกันตอนอยู่ด้วยกันเป็นเรื่องที่ถูกหรือไม่ เมื่อคุณแต่งงาน ในฐานะภรรยา คุณจะยอมประนีประนอมบ้างไหม และในฐานะสามี คุณจะแสดงความรักและความเคารพต่อภรรยาของคุณอย่างไร”

ความลับและคำลวง : ล้วงลึกหัวใจของยอดภรรยาอันซับซ้อน
เพื่อที่จะถักทอเรื่องราวให้ออกมาละเอียดอ่อน ซับซ้อน และมีอารมณ์ขันแบบร้ายๆ ทีมงานสร้างหนังเรื่องนี้จึงต้องการคนที่มีสัญชาตญาณ เป็นนักทำหนังที่ฉลาด และผู้กำกับที่สามารถทำงานกับนักแสดงได้อย่างราบรื่น
บยอร์น รันจ์ ผู้กำกับมือดีจากหนังเรื่อง Mouth to Mouth และ Daybreak ซึ่งได้รางวัลหมีทองคำ กลายเป็นคนที่ถูกเลือก
จากคำพูดของ ปิแอร์ เทมป์เปสต์ ผู้อำนวยการสร้าง เขามีความเข้าใจเกี่ยวกับโทนของเรื่องซึ่งว่าด้วยคนที่มีความมุ่งมั่นอยากประสบความสำเร็จ “บยอร์น นิยามถึงหนังออกมาด้น่าสนใจว่าเปรียบเหมือนกับยางยืดที่ถูกดึงจนตึง จนกระทั่งมันขาดออกเมื่อความลับถูกเปิดเผยออกมา และมันส่งผลกระทบต่อตัวของโจ โจน และครอบครัว มันเป็นผลงานที่น่าทึ่ง และเราทุกคนภาคภูมิใจอย่างยิ่งครับ”
ตัวผู้กำกับเองก็มีความตั้งใจอยากทำหนังเรื่องนี้ด้วยตั้งแต่แรกแล้ว ผู้อำนวยการสร้าง โรซาลิน สเวดลิน เล่าให้ฟังว่า
“ฉันเคยเจอเจนเมื่อหลายปีมาแล้ว ตอนที่เรากำลังพัฒนาโปรเจ็คหนึ่งขึ้นมาด้วยกัน แล้วเราได้กลับมาเจอกันอีกรอบจนได้ ตอนฉันอ่านบท The Wife ครั้งแรก ฉันแอบกังวลว่าหนังอาจไม่ได้ถูกสร้าง มีอาทิตย์นึงที่ฉันนั่งขบคิดว่าฉันจะทำยังไงกับหนังเรื่องนี้ดี แล้วจู่ๆ ฉันก็คิดได้ว่า ในเมื่อหนังเรื่องนี้มีฉากหลังอยู่ที่สต็อกโฮล์ม ถิ่นของรางวัลโนเบล ถ้าอย่างนั้นทำไมเราไม่ไปร่วมงานกับนักทำหนังสแกนดิเนเวียล่ะ!”
และในเวลาไม่นาน ผู้อำนวยการสร้าง เมต้า หลุยส์ โฟลแดกเกอร์ โซเรนเซ่น ก็เข้ามาร่วมหัวจมท้ายด้วยหลังจากอ่านบทจบลง
“ฉันรักบทหนังเรื่องนี้ ฉันรู้ตัวเลยว่าต้องทำหนังเรื่องนี้ให้ได้ มันเป็นอะไรที่ลงตัวกับทีมงานสร้างชาวสแกนดิเนเวีย เพราะมันมีฉากหลังของเรื่องอยู่ที่สต็อกโฮล์ม ฉันเลยหาตัวผู้กำกับชาวสวีเดนมาร่วมงานด้วย เราเลือก บยอร์น รันจ์ เขาเป็นผู้กำกับที่เก่งมาก เขากำกับนักแสดงได้ยอดเยี่ยม เขายังมีประสบการณ์การทำงานด้านละคร ฉันคิดว่าเขาน่าจะมีความคิดที่ใช่ในการทำหนังเรื่องนี้ค่ะ”
“เขาเข้ามาทำหน้าที่ผู้กำกับ และหลังจากเขาอ่านบท เขาก็ตกหลุมรักมันทันที เขาหลใหลในหนังเรื่องนี้” สเวดลิน กล่าวเสริม “เขาส่งอีเมล์มาหาพวกเรา แล้วที่น่าชื่นชมมากๆ อยู่ตรงที่เขากล่าวว่า “นี่คือหนังสำหรับทุกคน” เขาไม่ได้วางหนังว่าอยู่สูงจนเอื้อมไม่ถึง เขาเข้าใจแก่นแท้ของเรื่องอย่างทะลุปรุโปร่ง”
“บางคนอาจคิดว่าหนังเรื่องนี้ต้องใช้ผู้กำกับผู้หญิง ถึงจะสามารถตีความความหมายที่แฝงอยู่ในเรื่องออกมาได้ทั้งหมด” แอนเดอร์สันกล่าว “แต่ บยอร์น รัจน์ คือผู้กำกับที่มีความเป็นเฟมินิสต์ที่สุดที่ฉันเคยรู้จัก เขามีอารมณ์ความรู้สึกที่ทั้งสวยงามและอ่อนไหว และเขาเข้าใจอย่างดีว่าบทหนังเรื่องนี้ต้องการสื่ออะไรออกมา”

คลายปมยอดศรีภรรยา : หน้าที่ของผู้กำกับ
บยอร์น รันจ์ ขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นผู้กำกับแห่งการกำกับนักแสดง ทักษะโดยธรรมชาติของเขาคือการปล่อยให้เรื่องราวดำเนินหน้าไปแล้วดึงส่วนที่ดีที่สุดในตัวนักแสดงออกมา และด้วยบทภาพยนตร์ในแต่ละเรื่องสามารถดึงดูดนักแสดงเก่งๆ ให้มาร่วมงานด้วย และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถือเป็นชิ้นงานที่ควรค่าแก่การยกย่องเช่นกัน
สำหรับรันจ์ สิ่งที่ดึงดูดเขามากๆ ในบทคือความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างตัวละครหลากหลายตัว
“มันเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่าง แม่ พ่อ และลูก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมคุ้นเคยดีจากงานเก่าๆ ของผมที่สวีเดน แต่สิ่งที่ดึงดูดผมจริงๆ คือมันเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับรางวัลโนเบล มันเล่าเรื่องราวเล็กๆ ที่แฝงอยู่ในเรื่องใหญ่อีกที”
“ผมคิดว่าสิ่งที่ทำให้นิยายแตกต่างจากบทหนังที่สุดคือการที่เจนสร้างตัวละครลูกชาย เดวิด ขึ้นมา ซึ่งถือเป็นตัวละครที่สำคัญทีเดียวในบทหนังเรื่องนี้”
และเมื่อถามเรื่องการแคสต์นักแสดงมาเล่นหนัง ผู้กำกับก็กล่าวติดตลกว่า “จริงๆ แล้ว เกล็นน์ โคลส เป็นคนแคสต์ผมครับ แล้วผมก็มาแคสต์นักแสดงที่เหลืออีกที”
อันที่จริง ยอดนักแสดงหญิงที่เคยเข้าชิงรางวัลออสการมาแล้ว 4 ครั้ง และมีผลงานอันยาวนานตลอด 40 กว่าปีในวงการถือเป็นแฟนตัวยงของผู้กำกับและคนเขียนบทหนังเรื่องนี้ “ฉันชื่นชมผลงานของ เจน แอนเดอร์สัน มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตอนฉันรู้ว่าเจนเขียนบทเรื่องนี้ แล้วพอฉันได้อ่านนิยาย ฉันพบว่ามันน่าสนใจอย่างยิ่งค่ะ”
โคลสยังกล่าวถึงรันจ์ด้วยว่า “ฉันชอบวิธีการทำงานของเขาค่ะ ฉันคิดว่ามันคือการผสมผสานวิธ๊การทำงานในกองถ่ายหนังและละครเวทีได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขามีความเข้าใจอย่างดีเรื่องกระบวนการทำงานกับนักแสดง และเขาให้เวลากับคุณเมื่อเจอฉากที่ยาก วิธีการสร้างช็อตของเขามอบทั้งเวลาและเป็นวิธีการที่น่าทึ่งอย่างมาก ฉันแอบรู้สึกไม่ได้ว่าตอนถ่ายทำ เรามีความเป็นกองละครเวทีอยู่หน่อยๆ”
สำหรับตัวผู้กำกับ วิธ๊การกำกับของเขาที่ช่วยให้นักแสดงนำหญิงสามารถทำงานได้ตามสัญชาตญาณเป็นอย่างดี ถือเป็นประสบการณ์การทำงานที่ที่น่าประทับใจสำหรับทั้ง 2 ฝ่าย “เธอมีเซนส์ที่ดีเรื่องการแสดงอยู่หน้ากล้อง แต่เธอก็ยังมีสัมผัสที่ดีเยี่ยมเมื่อคำนึงถึงว่าตัวละครของเธออยู่ตรงไหนบ้างในบท เธอกลายเป็นตัวละครในแบบที่ผมไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน เธอรู้ว่าตัวละครตัวนี้ควรจะมอบอารมณ์ไหนไปสู่คนดูบ้าง”
สำหรับการตามหานักแสดงนำชาย ทีมงานสร้างต้องการนักแสดงที่มีความสามารถในการดึงความน่าเลื่อมใสและความใหญ่โตในตัว โจ แคสเซิ่ลแมน ออกมา และยังสามารถคลี่คลายความซับซ้อนในชีวิตคู่เมื่อต้องเข้าฉากกับ โลส ได้อย่างดี และโจนาธาน ไพรซ์ นักแสดงชาวอังกฤษก็คือคนๆ นั้น
“หนึ่งในสิ่งที่ดึงดูดผมคือการรู้ว่า บยอร์น จะกำกับหนังเรื่องนี้” ไพรซ์ กล่าว “ผมชอบผลงานของเขา และผมชอบการพูดถึงความสัมพันธ์ในหนัง สิ่งที่ทำให้ผมตั้งหน้าตั้งตาคอยที่จะได้เล่นหนังเรื่องนี้คือมันมีมุมมองของคนสวีเดนหรือกลุ่มประเทศนอร์ดิคอยู่ด้วย”
ไพรซ์นำเอาความเป็นธรรมชาติมาสู่ตัวละครตัวนี้ ซึ่งเป็นวิธีการที่ผู้กำกับประทับใจอย่างมาก “มีฉากนึง ตอนที่เขาตื่นขึ้นมา คุณจะเห็นเลยว่าเขาทำตาเหมือนฝันประหลาดๆ ผมไม่ได้สั่งให้เขาทำเลย แต่เขาทำออกมาเอง น่าประทับใจมากครับที่ได้ร่วมงานกับทั้งเกล็นน์และโจนาธาน พวกเขาคือคู่ที่เข้ากันได้อย่างดีเลย”
“ตรรกะเหตุผล การเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ คือจุดเด่นของการแสดงของทั้งคู่ ทันทีที่พวกเขารู้รายละเอียดว่าเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาสามารถขุดอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ออกมาได้ในฉากนั้น การเข้าไปร่วมงานเลี้ยงนั้นในฐานะดวงวิญญาณที่กำลังปลุกปล้ำอยู่กับโชคชะตา นี่แหละครับคือสิ่งที่หนังเรื่องนี้เป็น”
ไพรซ์เองเห็นด้วยว่าเขาและโคลสร่วมกันพัฒนาความสัมพันธ์ในการทำงานอันแข็งแกร่งขึ้นมาในหนังเรื่องนี้ และสามารถมองเห็นผลลัพธ์นี้ได้อย่างเด่นชัดบนจอภาพยนตร์ “ผมชื่นชมเธอมาตลอดในฐานะนักแสดงเราทั้งคู่อายุเท่ากัน เราจึงสามารถดึงเอาประสบการณ์เล็กๆ อันล้ำค่าออกมาถ่ายทอดได้ เราทั้งคู่ไม่จำเป็นต้องสื่อสารกันมากมายเลย ซึ่งผมชอบมากเลยนะ เราต่างเข้าใจความต้องการของตัวละครในเรื่อง ถือเป็นเรื่องดีมากๆ ครับที่ได้ร่วมงานกับคนที่ทุ่มเทให้กับการทำงาน และมีจิตใจอันแรงกล้าในการทำงานอย่างยิ่ง”
“ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะที่ได้ร่วมงานกับโจ” โคลสกล่าวชม “ฉันจำเขาได้จากหนังเรื่อง Brazil เมื่อหลายปีก่อน และฉันไม่มีวันลืมการแสดงของเขาเลย เขาคือหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ในยุคสมัยของเรา ฉันจึงรู้สึกตื่นเต้นและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับเขา”
ในขณะที่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างโจและโจนคือหัวใจของหนังเรื่องนี้ ทีมงานยังจำเป็นต้องหานักแสดงสมทบมารับบทสำคัญๆ เพื่อดึงความสมบูรณ์แบบของหนังออกมา “ตอนที่ผมตามหานักแสดงเพื่อมารับบทลูกชาย เดวิด ผมมองหาคนที่มีความเปราะบาง อ่อนแอ แต่ก็มีด้านที่แข็งกระด้างแฝงอยู่เช่นกัน” รันจ์ กล่าว
“โจแอบกลัวลูกชายของตัวเอง ผมคิดว่ามันสำคัญที่ต้องหานักแสดงที่มีส่วนผสมของอารมณ์ดังกล่าว มีด้านของความเป็นศิลปินและด้านที่โหดร้าย และสำหรับผม แม็กซ์ ไอออนส์ คือคนนั้น”
ตัวของไอออนส์เองก็มีความสุขที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับยอดฝีมือรายนี้ “เขาเป็นคนพิถีพิถันมากครับ เขายังใจเย็นด้วย เขาพูดด้วยภาษาที่เราเข้าใจง่าย เราเลิกงานเร็วกว่ากำหนดทุกวันเลยซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน! เขาประหยัดทั้งวิธ๊ในการถ่ายทำและวิธีกำกับ เขาทุ่มเทลงไปทั้งใจเลย ช่างเป็นคนที่ปราดเปรื่องและนั่นคือสิ่งที่คุณต้องการจากหนังเรื่องนี้ครับ”
สำหรับนักแสดงขาใหญ่แห่งอเมริกา คริสเตียน สเลเตอร์ เขารับบทเป็นนักข่าวจอมกัด เนธาเนียล โบน ผู้สัมผัสได้ว่าสิ่งที่เห็นทั้งหมดไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงๆ และมันนำไปสู่ฉษกที่ตลกขบขันเอามากๆ ด้วย
“ฉันอยู่ในวงการมากว่า 40 ปีแล้ว” โคลสกล่าว “และฉันก็จะยังทำงานต่อไปเรื่อยๆ และยิ่งทำงานมากเท่าไหร่ฉันก็ได้ตระหนักว่าทั้งหมดเป็นเรื่องของความสามารถของนักแสดง และการขับเคลื่อนฉากแต่ละฉากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนัง การได้ลองทำในสิ่งต่างๆ ที่แปลกใหม่ ช่วยให้คนตัดต่อมีวัตถุดิบเอาไปใช้ตัดต่อ คริสเตียนและฉันต้องเข้าฉากด้วยกัน 3 ฉาก ซึ่งเป็นฉากที่เขามาสัมภาษณ์ฉันในผับ และพวกเราทั้งคู่สนุกมากๆ ฉันไม่เคยทำงานกับเขามาก่อน แต่มันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก เราได้ลองอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจอย่างยิ่งค่ะ”
“ขอเปรียบเปรยประมาณว่าเราเล่นหมากที่น่าสนุกมากๆ เป็นสถานการณ์ประมาณเกมแมวจับหนูระหว่างเรา 2 คน” สเลเตอร์กล่าวเสริม “ผมพยายามบีบให้เธอบอกความจริงมาและเธอก็พยายามป้องกันตัวไม่ให้จนมุม มันเป็นความสัมพันธ์แบบผลักและดึงที่น่าสนใจมากๆ ครับ”
เพราะหนังเรื่องนี้มีฉากหลังอยู่ใน 2 ยุคสมัย ทีมงานสร้างยังต้องหานักแสดงมาสวมบทเป็น 2 สามีภรรยาแคสเซิ่ลแมนที่ยังเปี่ยมไปด้วยความหวัง ความทะเยอทะยานและมีพลังของความเป็นหนุ่มสาวอยู่ เพื่อช่วให้คนดูได้รู้จักตัวตน เรื่องราวของพวกเขามากขึ้นและผลที่ออกมา ผู้ที่มาสวมบทสามีภรรยาแคสเซิ่ลแมนในช่วงที่ยังเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามันคือ แฮรี่ ลอยด์ และ แอนนี่ สตาร์ค
“ฉันเข้ามาเล่น The Wife ด้วยเหตุผลหลายประการค่ะ ประการแรกฉันเป็นแฟนผลงานของ เจน แอนเดอร์สัน มานานพอสมควรแล้ว และฉันก็ชอบผลงานของ บยอร์น รันจ์ เช่นกัน” สตาร์คเล่า “บทภาพยนตร์ที่เขียนขึ้นก็สามารถถ่ายทอดเรื่องราวความรักและความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ได้อย่างน่าสนใจด้วย”
แฮรี่ ลอยด์ เองก็ขานรับโอกาสที่จะรับบทเป็น โจ แคสเซิ่ลแมน วัยหนุ่มอย่างเต็มใจ “มันมีอะไรหลายๆ อย่างที่เหมือนกัน แต่เราก็คุยกันถึงจุดที่แตกต่างด้วยเช่นกัน บยอร์น พูดในสิ่งที่น่าสนใจมากๆ เอาไว้ตั้งแต่แรกเลยครับว่า โจตอนแก่แล้วมีความเป็นเด็กมากกว่าตอนหนุ่มอีกนะ”
“ผมคิดว่ามันเป็นมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตัวละคร 2 ตัวที่มีความยุ่งยากและซับซ้อนนะ” สตาร์คกล่าวเสริม “แต่ความรักที่พวกเขามีให้ต่อกันไม่เพียงก่อให้เกิดเรื่องราวที่สวยงาม แต่ฉันคิดว่ามันยังส่งผลต่อชีวิตของของพวกเขาในทางที่ไม่คาดคิดมาก่อนด้วย”

อดีต ปัจจุบัน และมุมมองในภาพรวม : การสร้างโลกของตระกูลแคสเซิ่ลแมน
ในขณะที่เรื่องราวเกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกาและสต็อกโฮล์ม สถานที่ดำเนินงานสร้างส่วนใหญ่ของหนังเรื่อง The Wife กลับอยู่ที่เมืองกลาสโกว์เป็นหลัก ซึ่งถือเป็นสถานที่ยอดฮิตที่มีคนมาใช้ทำหนังอยู่บ่อยๆ
“นี่คือหนังเรื่องที่ 4 แล้วที่เราทำกันที่นี่” ผู้อำนวยการสร้าง คลอเดีย บลูมฮิวเบอร์ กล่าว “เราเคยทำ Under the Skin, The Railway Man, และมีหนังอีก 2 เรื่องที่ถ่ายทำไปในปีนี้คือ Churchill และ The Wife เรามีประสบการณ์ที่ดี ทั้งทีมงาน ทั้งการสนับสนุนที่เราได้รับ เรารักที่แห่งนี้มากๆ การเปลี่ยนที่นี่ให้เป็นฉากในรัฐคอนเนกติกัต ออกมาลงตัวมากๆ ค่ะ”
“เวลาจะต้องถ่ายหนัง คุณจะต้องมองหาว่าสถานที่แห่งไหนมอบคุณค่าได้มากที่สุด” ผู้อำนวยการสร้างอีกคน ปิแอร์ เทมป์เปสต์ กล่าว “แล้วเมืองกลาสโกว์ก็มีทุกอย่างจริงๆ มี 2 สิ่งที่ใช่มากๆ คือมีสถานที่ๆ เราสามารถแปลงให้เป็นงานจัดรางวัลโนเบลได้ และมีเครื่องบินคอนคอร์ดด้วยซึ่งลงตัวเลย เพราะหนังเรื่องนี้มีฉากหลังอยู่ในยุค 1990s แล้วเครื่องบินคอนคอร์ดเป็นสัญลักษณ์เด่นประจำยุคนั้นด้วย”
“ฤดูใบไม้ร่วงของสกอตแลนด์ในปี 2016 จะตราตรึงอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป” รันจ์ เผย “ในแง่หนึ่ง ผมรู้สึกว่ามันเหมือนบ้านหลังที่ 2 ของผม มันเป็นสถานที่ๆ มหัศจรรย์มากๆ ไม่เพียงแค่เพราะได้ร่วมงานกับทีมงานเหล่านี้ หรือสถานที่อันงดงาม แต่ยังรวมถึงเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับกองถ่ายหนังเรื่องนี้ อัศจรรย์จริงๆ ครับ”
สำหรับรูปโฉมและอารมณ์ของเรื่องราวนั้น การคัดเลือกสถานที่ถ่ายทำไม่เพียงแค่เป็นภารกิจที่น่าตื่นเต้นเท่านั้น จากคำพูดของผู้ออกแบบงานสร้าง มาร์ค ลีซ ช่วงเวลาที่ถ่ายทำก็ถือเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นในการทำหนังเรื่องนี้ ด้วยเรื่องราวที่เล่าถึงเหตุการณ์ในหลายช่วงเวลา มักมีฉากย้อนอดีตอยู่บ่อยๆ การตามหาสถานที่ 3 แห่งที่มีความแตกต่างกันทำให้กระบวนงานสร้างยุ่งยากขึ้น
“สิ่งที่น่าสนใจคือ มันไม่มีสถานที่ไหนเลยในบทที่เกิดขึ้นที่เกิดขึ้นที่อังกฤษหรือสกอตแลนด์ แต่เราถ่ายทำหลายๆ ฉากกันที่กลาสโกว์ มันถือเป็นความท้าทายอย่างสูงครับพูดตามตรง เราต้องสร้างเมืองนิวยอร์คในยุค 1950s, คอนเนกติกัตในปี 1960s กับ 1990s และสต็อกโฮล์มในยุค 1990s ขึ้นมาใหม่”
“ผมคิดว่าอีกหนึ่งความท้าทายคือการต้องสร้างงานมอบรางวัลโนเบลขึ้นมาให้เหมือนของจริง ซึ่งมันใช้เงินค่อนข้างมากเวลาจัดงานกันแต่ละที แต่ด้วยงบประมาณและเวลาที่มีอยู่ เราจะทำอย่างไรดี? ซึ่งผมพบว่าพวกเราทำออกมาได้ดีเลย เป็นภารกิจท้าทายที่ตื่นเต้นดี มันต้องอาศัยความมานะอุตสาหะอย่างมาก”
“มันเป็นเรื่องของความสมจริง คุณมีปริศนาที่ต้องแก้ให้ได้ และมันเกี่ยวกับว่าคุณได้รับอิทธิพลจากความจริงและต้องสร้างฉากของยุคสมัยหนึ่งขึ้นมาใหม่ และยิ่งเราค้นดู สำรวจดูมากเท่าไหร่ เราก็จะสามารถสร้างมันขึ้นมาได้จริงเท่านั้น มีบางครั้งที่เราพยายามทำซ้ำสิ่งที่มีอยู่แล้ว และบางครั้งเราก็ทำตามแนวทางคร่าวๆ จากนั้นเราก็สามารถทำในสิ่งที่เราต้องการได้”
สำหรับคอสตูมในหนังมีความประณีตแต่ดูสมจริงด้วย และเช่นเดียวกับฝ่ายออกแบบงานสร้าง ทริช่า บิ๊กเกอร์ นักออกแบบเครื่องแต่งกายได้แรงบันดาลใจที่จะดึงเอาความสมจริงมาใช้ “ความท้าทายอย่างหนึ่งคือเมื่อเราต้องทำหนังพีเรียดย้อนยุค เราจำเป็นต้องทำรีเสิร์ช” บิ๊กเกอร์กล่าว
“นั่นเป็นสิ่งที่ฉันให้ความสนใจมากๆ ฉันต้องนั่งค้นข้อมูลเกี่ยวกับเสื้อผ้าไม่เพียงแค่ในประเทศตัวเอง คุณจะเจอบ่อยๆ ว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่กันที่อเมริกาหรือที่อังกฤษไม่เหมือนกันกับที่สวมใส่ในสต็อกโฮล์มในปี 1990s และเสื้อผ้าที่สวมใส่ที่อเมริกาในยุค 1950s ก็ไม่เหมือนกับเสื้อที่อังกฤษในช่วงปีเดียวกันด้วย”
“มันถือเป็นภารกิจที่แสนท้าทายในการถ่ายทอดแต่ละยุคสมัยออกมา เพราะว่าสายตาในยุคสมัยปัจจุบันอาจมองไม่เห็นว่าเสื้อผ้าในยุค 1990s ไม่ดึงดูดมากเท่ากับที่เราคิดตอนที่เขาสวมใส่ในยุคนั้นจริงๆ!”
เช่นเดียวกัน ต่างเมืองต่างยุคสมัยหมายความว่าจะต้องสร้างสไตล์ที่แตกต่างกันเพื่อชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมืองไหนคือเมืองไหนและอยู่ในยุคสมัยใด ชาร์ล็อต เฮย์เวิร์ด ช่างแต่งหน้าทำผมกล่าวไว้ว่า “บางทีหนึ่งในสิ่งที่ท้าทายมากๆ คือการหาเสื้อผ้าหน้าผมที่ใช่สำหรับคนหนุ่มสาวในยุค 1950s เราต้องค้นหาข้อมูลให้แน่ใจว่าพวกเขาจะกลายเป็นคนในยุคนั้นจริงๆ เราต้องมีความมั่นใจในสิ่งที่ทำ เราต้องมั่นใจว่าเราเดินทางข้ามยุคสมัยไปพร้อมกับเสื้อผ้าหน้าผมที่ถูกต้องจริงๆ”
ผู้อำนวยการสร้าง ปิแอร์ เทมป์เปสต์ หวังว่าคนดูจะรู้สึกเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับหนังเรื่องนี้ซึ่งมีแก่นแกนที่ความสัมพันธ์อันซับซ้อน “มันเล่าเรื่องของความสัมพันธ์จริงๆ ผู้คนจะมีอารมณ์ร่วมไปกับความสัมพันธ์นั้น ผมหวังว่ามันจะออกมาเปรี้ยง และผู้คนจะพบว่าตัวเองผูกพันกับสายใยและลักษณะนิสัยของตัวละคร และดำดิ่งลงไปสู่ตัวเรื่อง ผมคิดว่าการให้คนดูได้รู้จักตัวละครอย่างดีคือเครื่องมือที่ดีที่สุดในการสร้างหนังครับ”
ผู้กำกับกล่าวทิ้งท้ายว่า “ผมคิดว่ามันเป็นหนังที่เร้าอารมณ์มากๆ มันจะเป็นหนังที่มีหัวใจดวงโต และมันจะเป็นหนังที่คุณสามารถสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของผู้คนที่พยายามค้นหาวิธีการใช้ชีวิตของตัวเอง เมื่อคุณได้เห็นนักแสดงสวมบทบาท แสดงให้คุณเห็นถึงหัวใจของตัวละคร สำหรับผมมันเปรียบได้กับปาฏิหาริย์จริงๆ”

ประวัติทีมงาน
บยอร์น รันจ์ (ผู้กำกับ)
ผู้กำกับ นักเขียนบท ผู้มีชื่อเสียงบันลือไกลจากสวีเดน บยอร์น รันจ์ ทำหนังขนาดยาวเรื่องแรกคือ Harry Och Sonja ซึ่งเขาทั้งเขียนบทและกำกับเองในปี 1996 ตามด้วย Daybreak ผลงานที่แจ้งเกิดเขาให้กลายเป็นผู้กำกับที่น่าจับตามอง ซึ่งเขาก็กำกับและเขียนบทเช่นเดียวกัน หนังเรื่องนี้ทำให้เขาได้รางวัล Guldbagge Awards สาขาบทยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยมมาครองในปี 2003 แล้วยังได้ตระเวนไปออกฉายตามเทศกาลใหญ่ๆ ทั่วโลก
ผลงานเรื่องอื่นๆ ของเขาประกอบด้วย Happy End, หนังสั้นเรื่อง Rensa Fisk, Raymond – SJU Resor Varre และสารคดีเรื่อง Vulkanmannen นอกจากนั้นเขายังกำกับหนังโทรทัศน์อีกหลายเรื่องอาทิ DOKUMENT RÖRANDE FILMREGISSÖREN ROY ANDERSSON รวมทั้งมินิซีรี่ส์เรื่อง ANDERSSONS ÄLSKARINNA
ไม่เพียงแค่ทำหนังแต่เขายังเขียนหนังสือ แต่งนิยายด้วย โดยมี Det Allra Enklaste ออกวางจำหน่ายในปี 2014 เขายังทำละครเวทีอยู่บ่อยๆ หนึ่งในผลงานที่เขาทำคือการดัดแปลง Death of the Salesman ของอาร์เธอร์ มิลเลอร์ และเขากำลังจะมีละครเรื่องใหม่ I Am Another One Now เปิดแสดงจริงในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้
นอกจากนั้น เขาจะมีหนังเรื่อง The Wife เข้าฉายอย่างเป็นทางการ นำแสดงโดย เกล็นน์ โคลส และ โจนาธาน ไพรซ์ เขายังใกล้เสร็จสิ้นการทำหนังแนว Essay Film เรื่อง Conversations Over Horizon และยังมีหนังสือเล่มใหม่เตรียมออกวางจำหน่ายด้วย

ผลงานการกำกับ
THE WIFE 2017
HAPPY END 2011
MOUTH TO MOUTH 2005
RENSA FISK (หนังสั้น) 2005
DAYBREAK 2003
FAMILJEN (ซีรี่ส์ 2 ตอนจบ) 2002
ANDERSSONS ÄLSKARINNA (มินิซีรี่ส์ 6 ตอนจบ) 2001
RAYMOND ‐ SJU RESOR VÄRRE 1999
VULKANMANNEN (สารคดี) 1997
DOKUMENT RÖRANDE FILMREGISSÖREN ROY ANDERSSON (สารคดีโทรทัศน์) 1997
HARRY OCH SONJA 1996
EN DAG PÅ STRANDEN (หนังสั้น) 1993
ÖGONBLICKETS BARN (หนังโทรทัศน์) 1991
GREGER OLSSON KÖPER EN BIL (หนังสั้น) 1990

ผลงานการเขียนบท
MOUTH TO MOUTH 2005
RENSA FISK (หนังสั้น) 2005
DAYBREAK 2003
FARBROR FRANKS RESA (หนังโทรทัศน์) 2002
ANDERSSONS ÄLSKARINNA (มินิซีรี่ส์ 6 ตอนจบ) 2001
RAYMOND ‐ SJU RESOR VÄRRE 1999
VULKANMANNEN (สารคดี) 1997
DOKUMENT RÖRANDE FILMREGISSÖREN ROY ANDERSSON (สารคดีโทรทัศน์) 1997
HARRY OCH SONJA 1996
EN DAG PÅ STRANDEN (หนังสั้น) 1993
EN DAG PÅ STRANDEN (หนังสั้น) 1993

เจน แอนเดอร์สัน (เขียนบท)
ผู้ดัดแปลงนิยายเรื่อง The Wife ของยอดนักเขียน เม็ก โวลิทเซอร์ ให้กลายเป็นบทหนังคือ เจน แอนเดอร์สัน นักเขียนบท ผู้กำกับ นักทำหนังที่กวาดรางวัลมาครองจากหลายต่อหลายสถาบัน โดยผลงานก่อนหน้านี้ของเธอคือ Packed In a Trunk: The Lost Art of Edith Lake Wilkinson หนังสารคดีที่เธอร่วมเขียนบทเมื่อปี 2015
สำหรับผลงานก่อนหน้านี้ เธอเคยได้เข้าชิงรางวัลเอมมี่ 5 ครั้งและเคยได้รางวัลมาครอง 2 ครั้งจากมินิซีรี่ส์ที่ออกอาหาศทางช่อง HBO เรื่อง Olive Kitteridge (2014) และหนังทีวีเรื่อง The Positivly True Adventures of the Alleged Texas Cheerleader – Murdering Mum (1993) โดยทั้ง 2 เรื่องนี้ยังทำให้เธอได้รางวัลจากสมาคมนักเขียนบทและ Penn Award ด้วย นอกจากนั้นเธอยังมีงานเด่นเรื่องอื่นๆ คือ The Baby Dance (1998) และหนังดราม่าออกอากาศทางช่อง HBO เรื่อง NORMAL (2003) ซึ่งทั้ง 2 เรื่องดัดแปลงมาจากบทละครของเธอเอง

ผลงานเรื่องเด่น
THE POSITIVELY TRUE ADVENTURES OF THE ALLEGED TEXAS CHEERLEADER MURDERING MUM (เขียนบทหนังโทรทัศน์) 1988
IT COULD HAPPEN TO YOU (บทภาพยนตร์ขนาดยาว) 1994
HOW TO MAKE AN AMERICAN QUILT (บทภาพยนตร์ขนาดยาว) 1995
THE BABY DANCE (บทหนังโทรทัศน์) 1998
NORMAL (หนังหนังโทรทัศน์) 2003
THE PRIZE WINNER OF DEFIANCE, OHIO (บทภาพยนตร์ขนาดยาว) 2005
OLIVE KITTERIDGE (บทภาพยนตร์ซีรี่ส์ความยาว 4 ตอนจบ) 2014
PACKED IN A TRUNK: THE LOST ART OF EDITH LAKE WILKINSON (ร่วมเขียนบท) 2015

เม็ก โวลิตเซอร์ (ผู้แต่งนิยายต้นฉบับ)
เม็ก โวลิทเซอร์ คือนักเขียนผู้มีผลงานขายดีติดอันดับหลายเรื่อง ผลงานเด่นของเธอคือ The Female Persuasion, The Interestings, The Uncoupling, The Ten‐Year Nap, The Position, The Wife, Sleepwalking และอื่นๆ อีกมากมาย โดยปัจจุบัน โวลิทเซอร์ อาศัยอยู่ในเมืองนิวยอร์ค

มาร์ค ลีซ (ออกแบบงานสร้าง)
นักออกแบบงานสร้างชาวสกอตติช มีผลงานในหนังจอเงินและจอแก้วอยู่หลายเรื่อง แต่ช่วงแรกเขาเริ่มต้นอาชีพกับการทำละครเวทีในฝ่ายฉากและออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับโรงละครหลากหลายแห่ง โดยงานที่เขาภาคภูมิใจที่สุดคือการเป็น Associate Designer ให้กับ Traverse Theatre Edinburgh ซึ่งเขาได้ออกแบบผลงานให้กับละครน้ำดีมากมาย
เมื่อผ่านไป 10 ปี มาร์ค ลีซ ขยับเข้าสู่วงการภาพยนตร์และโทรทัศน์บ้าง ผลงานชิ้นเด่นๆ ของเขาประกอบด้วย Magdalene Sisters ของผู้กำกับ ปีเตอร์ มุลเลน (ได้เข้าชิงรางวัลบาฟต้า และได้รางวัลสิงโตทองคำหรือรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม), NEDs (ได้รางวัลหนังยอดเยี่ยมจากเทศกาล San Sebastian Film Festival), This is England ของผู้กำกับ เชน เมโดว์ (ได้รางวัลบาฟต้า สาขาภาพยนตร์อังกฤษยอดเยี่ยม) Murder ของ เบอร์เกอร์ ลาร์เซ่น Birger Larsen และออกแบบงานสร้างให้กับ Glorious 39, Joes Palace และ Capturing Mary ของผู้กำกับ สตีเวน โพเลียคอฟฟ์
สำหรับผลงานทางโ?รทัศน์ที่เขาได้ออกแบบงานสร้างคือ Shetland, The Replacement, Remember Me, The Escape Artist, Garrow Law, Case Histories, Single Father และ The Book Group

อุลฟ์ บรันตัส (กำกับภาพ)
ผู้กำกับภาพชาวสวีเดนรายนี้เริ่มต้นอาชีพจากการทำงานกับ รอย แอนเดอร์สัน ในช่วงต้นยุค 1980s จากนั้นก็ได้รู้จักกับ บยอร์น รันจ์ ทำให้เขาทั้งคู่ได้ร่วมงานกันอยู่บ่อยๆ ทั้งในหนังสั้นและหนังยาว และกวาดรางวัลจากเทศกาลต่างๆ มาครองมากมาย
บรันตัส กล่าวถึงการทำงานใน The Wife ไว้ว่า “การถ่ายทำหนังเรื่องนี้ถือเป็นความท้าทายอย่างมากครับ เนื่องจากผมไม่ได้ร่วมงานกับ บยอร์น อยู่นานหลายปี, การได้เห็นทีมนักแสดงที่แข็งแกร่ง และด้วยความเป้นหนังพีเรียดย้อนยุค และมันยังมีความเป็นละครเวทีในฉากสำคัญๆ หลายๆ ฉาก การได้จับภาพการแสดงที่เต็มไปด้วยความตึงเรียดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันยังต้องคงสภาพบรรยากาศทุกอย่างเอาไว้ เราทุกคนต่างยินดีกับผลลัพธ์ที่ออกมาและหวังว่าคนดูจะเห็นด้วยกับพวกเราครับ”

ทริช่า บิ๊กเกอร์ (ออกแบบเครื่องแต่งกาย)
นักออกแบบเครื่องแต่งกายมือรางวัลที่เคยออกแบบเครื่องแต่งกายให้กับนักแสดงชั้นยอดมากมายหลายคน อาทิ โรเบิร์ต คาร์ไลล์, แซมมวล แอล แจ็คสัน, ไมเคิล คีตัน. คริสโตเฟอร์ ลี, ยูเวน แม็กเกรเกอร์, เลียม นีสัน, นาตาลี พอร์ตแมน และ เรเชล ไวซ์ เป็นต้น
ผลงานเด่นๆ ของเธอคือการทำหนังเรื่อง Hallam Foe และ Perfect Sense ของ เดวิด แม็คเคนซี่, Star Wars Ep. I-III นอกจากนั้นเธอยังมีผลงานด้านซีรี่ส์โทรทัศน์ อาทิ Emerald City, Da Vinci’s Demons II และ III, The Deep และ The Philanthropist เป็นต้น
ทริช่า บิ๊กเกอร์ เคยได้รางวัล BAFTA Cymru Award จาก Da Vinci’s Demons และรางวัล Saturn Awards, Sierra Award และ OFTA Award จาก Star Wars

ชาร์ล็อต เฮย์เวิร์ด (แต่งหน้าทำผม)
ช่างแต่งหน้าทำผมผู้มีผลงานทั้งในหนัง แฟชั่นโชว์ และงานเดินพรมแดงอีกหลายต่อหลายงาน เธอเป็นที่รู้จักจากการร่วมงานกับ เอ็มม่า วัตสัน มานานกว่า 10 ปีและมีจุดเด่นอยู่ที่การสามารถปรับตัวเพื่อทำงานให้กับงานของหลากหลายวงการได้อย่างไม่มีปัญหา
ชาร์ล็อต จบการศึกษาด้านแฟชั่นจาก London College of Fashion เธอทำงานแต่งหน้าทำผมในหนังมามากกว่า 14 ปี โดยผลงานฟอร์มยักษ์ที่เคยมีส่วนร่วมคือหนังชุด Harry Potter, X-Men, Jason Bourne, Spectre และ Beauty and the Beast เป็นต้น ได้ร่วมงานกับนักแสดงมีชื่อเสียงมากมายไม่ว่าจะเป็น เอ็มม่า วัตสัน, เกล็น โคลส และ เคท ฮัดสัน เป็นต้น

คลอเดียร์ บลูมฮิวเบอร์ – Silver Reel (อำนวยการสร้าง)
CEO และ Managing Partner ของสตูดิโอสร้างหนัง Silver Reel ซึ่งมีผลงานการผลิตหนังและคอนเทนต์ชื่อดังมากมายหลายชิ้น
Silver Reel ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 และผลิตภาพยนตร์ออกฉายในโณงภาพยนตร์มาทั้งสิ้น 35 เรื่อง โดยเรื่องเด่นๆ ประกอบด้วย Under the Skin ของ โจนาธาน เกลเซอร์ ที่นำแสดงโดย สการ์เล็ตต์ โจฮานส์สัน, หนังระทึกขวัญ Eye in the Sky ผลงานนำแสดงโดย เฮเลน เมียร์เรน และ แอรอน พอล และ The Railway Man ของ โจนาธาน เทปลิทสกี้ ซึ่งมี นิโคล คิดแมน และ โคลิน เฟิร์ธ รับบทนำ
สำหรับผลงานในระยะหลังประกอบด้วย Breathe ผลงานการกำกับเรื่องแรกของ แอนดี้ เซอร์กิส, Loving Vincent อนิเมชั่นเกี่ยวกับยอดศิลปิน วินเซนต์ แวน โก๊ะ รวมทั้ง The Wife ผลงานเรื่องล่าสุดที่เข้าฉายรอบปฐมทัศน์โลกในเทศกาลหนังโตรอนโต้ และเป็นหนังปิดเทศกาลซานเซบาสเตียนเมื่อปี 2017
คลอเดีย บลูมฮิวเบอร์ มักได้รับเชิญให้ไปบรรยายในงานต่างๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการสร้างหนังอยู่บ่อยครั้ง เธอยังได้รับการยกย่องว่าเป้นขาใหญ่แห่งวงการ และยังได้รับรางวัล Pioneer of the Year Award จากงาน Woman in Entertainment Finance Forum ในปี 2015 ในช่วงเดียวกับที่มีงานเทศกาลหนังเมืองคานส์

เมต้า หลุยส์ โฟลแดกเกอร์ โซเรนเซ่น – Meta Film (อำนวยการสร้าง)
ผู้อำนวยการสร้างที่มีผลงานอยู่ทั่วทุกมุมโลก เธอมีหนังและซีรี่ส์โทรทัศน์ออกฉายแล้วมีคนดูหลายล้านคนทีเดียว เมต้า หลุยส์ โฟลแดกเกอร์ โซเรนเซ่น จบการศึกษาปริญญาโทด้านภาพยนตร์จาก University of Copenhagen เมื่อปี 2004 เธอเคยได้รางวัล Natsværmerpris ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับนักทำหนังหน้าใหม่มาแรงของประเทศเดนมาร์ค
ในเวลาต่อมาเธอก่อตั้ง Meta Film ขึ้นในปี 2010 และทำหน้าที่เป็น CEO เคยร่วมงานกับผู้กำกับเก่งๆ มาหลายต่อหลายคน อาทิ ลาร์ส วอน เทรียร์, ฟิชเชอร์ คริสเตนเซ่น และ นิโคลัส อาร์เซล เป็นต้น โดยหนังเรื่อง A Royal Affairs ที่เธอร่วมงานกับ อาร์เซล เมื่อปี 2013 ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมด้วย

โรซาลี่ สเวดลิน – Anonymous Content (อำนวยการสร้าง)
ผู้อำนวยการสร้างสังกัด Anonymous Content ผลงานเด่นๆ ของเธอคือการอำนวยการสร้าง The Red Corner หนังทีวีออกอากาศทางช่อง HBO นำแสดงโดย ริชาร์ด เกียร์ แล้วได้เข้าชิงรางวัลเอมมี่, Clockers ของผู้กำกับ สไปค์ ลี และปัจจุบันกำลังอำนวยการสร้างซีรี่ส์ The Alienist ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายขายดีของเคเล็บ คาร์ นำแสดงโดย แดเนียล บรูหล์, ดาโกต้า แฟนนิ่ง และลุค เอฟเว่นส์
และหลังจากอำนวยการสร้าง The Wife โรซาลี่ สเวดลิน จะอำนวยการสร้างให้กับหนังเรื่อง The Women in the Castle ของผู้กำกับ เชอเรี่ยน เดบิส ซึ่งได้ เจน แอนเดอร์สัน ผู้เขียนบท The Wife โดยเล่าเรื่องราวของวิกฤติของทรัพยากรน้ำในรัฐมิชิแกน

ปิแอร์ เทมเปสต์ และ โจ แบมฟอร์ด – Tempo Production (อำนวยการสร้าง)
2 คู่หูหัวเรือใหญ่ Tempo Production บริษัทสร้างหนังอิสระที่มีผลงานเด่นๆ คือ Oyster Farmer ของผู้กำกับ แอนนา รีฟส์, ซึ่งได้เข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของ AFI, Like Minds หนังที่นำแสดงโดยเอ็ดดี้ เรดเมย์น และ โทนี่ คอลเล็ตต์, Killing Bono ผลงานที่ เบน บาร์นส์ และ โรเบิร์ต ชีแฮน นำแสดง เป็นต้น
ผลงานในระยะหลังที่เพิ่งออกฉายของ Tempo Prosuction คือ Churchill นำแสดงโดย ไบรอัน ค็อกซ์, The Journey ผลงานนำแสดงของ ทิโมธี่ สปอลล์, เฟร็ดดี้ ไฮเมอร์ และ จอห์น เฮิร์ท รวมทั้ง The Wife

ปิโอดอร์ กุสตาฟสัน – Spark Film and TV (อำนวยการสร้างร่วม)
ปีเตอร์ “ฟิโอดอร์” กุสตาฟสัน มีประสบการณ์ในวงการหนัง โทรทัศน์ และโฆษณามากว่า 30 ปี ผลงานในระยะหลังของเขาคือ The Wife และ Boarder เรื่องหลังนี้กำกับโดย อาลี อับบาสซี่ ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียกวันของนักเขียน จอห์น ไลน์เควสต์
สำหรับผลงานก่อนหน้านี้ของ ปิโอดอร์ ประกอบด้วย Let the Right One In, The King of Pin Pong, In A Better World, The Girl With the Dragon Tattoo และอื่นๆ อีกมากมายซึ่งล้วนเป็นหนังสวีเดนที่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักของคนหนังทั่วโลก

ทีมนักแสดง
เกล็นน์ โคลส (รับบท โจน แคสเซิ่ลแมน)
นักแสดงรุ่นใหญ่ผู้เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์ 6 ครั้ง ล่าสุด เกล็นน์ โคลส มีผลงานการแสดงชั้นเด็ดใน The Wife และนอกจากเรื่องนี้ เธอยังได้นำแสดงใน Crooked House ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายของ อกาธ่า คริสตี้ โดยมี แม็กซ์ ไอออนส์, จิลเลี่ยน แอนเดอร์สัน, คริสติน่า เฮนดริกส์ และเทอร์เรนซ์ แสตมป์ ร่วมจอ
ผลงานแจ้งเกิดของ เกล็นน์ โคลส คือ The World According to Gap ของผู้กำกับ จอร์จ รอย ฮิลล์ ที่ส่งให้เธอได้รางวัลจากสมาคมนักวิจารณ์จำนวนมากรวมทั้งได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สมัยแรก โดยหนังเรื่องอื่นๆ ที่ส่งให้เธอได้เข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทองประกอบด้วย The Big Chill, The Natural, Fatal Attraction, Dangerous Liaisons และปิดท้ายด้วย Albert Nobbs
นอกจากเล่นหนังใหญ่ โคลส ยังแบ่งเวลาไปรับเล่นซีรี่ส์ทีวีเรื่อง Damages ซึ่งทำให้เธอได้รางวัลเอมมี่สาขานักแสดงนำหญิงในซีรี่ส์ดราม่ายอดเยี่ยมมาครอง 2 สมัยติด และยังได้เข้าชิงลูกโลกทองคำ รวมทั้งรางวัล SAG ของสมาคมนักแสดงด้วย โคลส เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำทั้งหมด 12 ครั้งและเคยได้รางวัลมาครอง 1 ครั้งจาก The Lion in the Winter ของผู้กำกับ แอนเดรีย คอนชาลอฟสกี้

โจนาธาน ไพรซ์ (รับบท โจ แคสเซิ่ลแมน)
โจนาธาน ไพรซ์ เป็นนักแสดงรุ่นใหญ่ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกจากผลงานภาพยนตร์และละครเวที ผลงานเรื่องเด่นๆ ประกอบด้วยหนังเรื่อง Brazil ของผู้กำกับ เทอรี่ กิลเลี่ยม, Glengarry Glenn Ross ของผู้กำกับเจมส์ โฟลี่ย์, และ Carrington ซึ่งทำให้เขาได้รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ นอกจากเล่นหนังขายฝีมือแล้ว เขายังเล่นหนังบล็อคบัสเตอร์ทำเงินมหาศาลเรื่อง Tomorrow Never Die, G.I. Joes และ Pirates of the Caribbean ด้วย
สำหรับผลงานที่ถ่ายทำเสร็จแล้วและเตรียมพร้อมฉายหลังจากนี้คือ The Man Who Kill Don Quixote ซึ่งเขาได้กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับ เทอร์รี่ กิลเลี่ยม อีกครั้ง, The Wife และเขายังเพิ่งมี The Man Who Invented Christmas ออกฉายไปไม่นาน
ก่อนหน้านี้ ไพรซ์ ได้นำแสดงในละครเวทีเรื่อง The Merchant of Venice โดยตระเวนออกแสดงตามเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก นอกจากนั้นเขายังได้แสดงละครเรื่อง Comedians in London และ On Broadway ซึ่งทำให้เขาได้รางวัลโทนี่มาครอง และยังแสดงใน Hamlet, Miss Saigon และ King Lear ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ทำให้เขาได้รับคำชมและได้รางวัลด้านการแสดงมาครองหลากหลายรางวัล

คริสเตียน สเลเตอร์ (รับบท เนธาเนี่ยล โบน)
คริสเตียน สเลเตอร์ เป็นนักแสดงมีฝีมืออีกรายที่มีผลงานเด่นๆ ทั้งบนจอเงิน จอแก้ว และละครเวที ก่อนหน้านี้ สเลเตอร์ ได้รางวัลลูกโลกทองคำและรางวัล Critic’s Choice จากบทสมทบในซีรี่ส์ Mr.Robot ซึ่งเขายังเป็นผู้อำนวยการสร้างด้วย โดยปัจจุบันซีรี่ส์ออกอากาศมาแล้วทั้งสิ้น 3 ซีซั่นด้วยกัน
สำหรับผลงานเด่นเรื่องอื่นๆ ของ สเลเตอร์ ประกอบด้วย Nymphomaniac ของผู้กำกับ ลาร์ส วอน เทรียร์, Windtalkers ของผู้กำกับ จอห์น วู, Broken Arrow ที่เขาแสดงคู่กับ จอห์น ทราโวลต้า, True Romance ซึ่งเขาฝากการแสดงอันยอดเยี่ยมเอาไว้ และ Heathers หนังคัลต์คลาสสิคของผู้กำกับ ไมเคิล เลห์มานน์
สเลเตอร์ยังเคยเล่นละครเวทีหลายเรื่อง นอกจากนั้น เขายังเคยนั่งเก้าอี้ผู้กำกับ โดยเขากำกับหนังสั้นเรื่อง Museum of Love ออกอากาศทางช่อง Showtime

แม็กซ์ ไอออนส์ (รับบท เดวิด แคสเซิ่ลแมน)
นักแสดงสัญชาติอังกฤษ แม็กซ์ ไอออนส์ ฝึกฝนศิลปะการแสดงมาจากสถาบัน The Guildhall School of Music and Drama เขามีผลงานหนัง ซีรี่ส์ และละครเวทีหลายเรื่อง
ตลอดหลายปี ไอออนส์ได้ร่วมงานกับนักแสดงเก่งๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น เกล็นน์ โคลส, โจนาธาน ไพรซ์, มาร์โกต์ ร็อบบี้, ไซมอน เพ็กก์, แมทธิว ลูอิส, แซม คลาฟิน, ดักลาส บูธ, แกรี่ โอลด์แมน และ ซาช่า โรแนน เป็นต้น
สำหรับหนังเรื่องเด่นๆ ของเขาประกอบด้วย The Riot Club, The Host, Red Riding Hood, Woman in Gold และ Crooked House โดยปัจจุบันเขากำลังถ่ายทำ Condor ซีรี่ส์ความยาว 10 ตอนจบซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายเรื่อง Six Days of the Condor ของ เจมส์ เกรดี้ และเคยถูกสร้างเป็นหนังการเมืองระทึกขวัญเรื่องเยี่ยมของผู้กำกับ ซิดนี่ย์ พอลแล็ค เรื่อง Three Days of the Condor

แฮรี่ ลอยด์ (รับบท โจวัยหนุ่ม)
แฮรี่ ลอยด์ เกิดและโตที่สหราชอาณาจักร เขามีผลงานเป็นภาพยนตร์ ละครทีวีและละครเวทีหลายเรื่อง หนึ่งในผลงานที่น่าจดจำของเขาคือการรับบทเป็น วิเซริส ทาร์แกเรี่ยน ในซีรี่ส์ Game of Thrones เขายังรับบทสมทบใน The Theory of Everything, The Iron Lady, Jane Eyre รวมทั้ง The Wife ซึ่งล้วนแต่เป็นหนังเล็กๆ แต่มีคุณภาพทั้งสิ้น
สำหรับผลงานด้านซีรี่ส์เรื่องอื่นๆ เขาเคยรับบทนำในซีรี่ส์เจ้าของรางวัลเอมมี่ Manhattan กับ Wolf Hall เขายังเพิ่งนำแสดงในซีรี่ส์ของ Netflix เรื่อง Marcella ที่ได้รับคำชมอย่างล้นหลาม และซีรี่ส์เรื่อง Counterpart ที่เขาประกบนักแสดงรุ่นใหญ่ เจเค ซิมมอนส์ เตรียมออกอาหาศในอีกไม่นานนี้

แอนนี่ สตาร์ค (รับบท โจนวัยสาว)
นักแสดงสาวดาวรุ่ง แอนนี่ สตาร์ค เริ่มต้นอาชีพการแสดงจากการแสดงละครเวที Off-Broadway ของ นอร่า เอฟรอน เรื่อง Love, Loss and What I Wore จากนั้นจึงเลื่อนขั้นไปเล่นหนังใหญ่เป็นครั้งแรกในหนังอิสระน้ำดีเรื่อง Albert Nobbs จากนั้นได้ร่วมแสดงนำใน We Don’t Belong Here ร่วมจอกับ แอนทอน เยลซิน, แคทเธอรีน คีเนอร์, มาย่า รูดอล์ฟ และ จัสติน แชทวิน เป็นต้น
ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นปี แอนนี่ สตาร์ค ได้รับบทนำเป็น โจนออฟอาร์ค ในละครเวทีเรื่อง Mother of Maid ซึ่งเขียนบทโดย เจน แอนเดอร์สัน ผู้เขียนบท The Wife และหลังจากนี้เธอจะนำแสดงในซีรี่ส์เรื่อง Local Attraction
ปัจจุบัน สตาร์ค อาศัยอยู่ในเมืองลอสแองเจลิส

Facebook Comments
Share Button